วันนี้ (9 พฤษภาคม 2568) นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและการค้าโลก และได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายด้านภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และคงไม่จบเร็ว
ดังนั้นในการออกมาตรการมารองรับผลกระทบ จำเป็นต้องใช้กระสุนทั้งทางการเงินและการคลังที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ตรงจุด ซึ่ง ธปท. ก็ได้เตรียมความพร้อมนโยบายทางการเงินบางส่วนไว้รองรับแล้ว แต่ขอประเมินสถานการณ์จากนี้ก่อนว่าจะเป็นอย่างไร
ขณะเดียวกันแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคของประชาชนนั้น มองว่า หากออกมาในช่วงนี้คงไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ และอาจแก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุดนัก
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า แม้ผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ รอบนี้ หลายฝ่ายอาจมีความรู้สึกว่ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนัก แต่หากมองลงไปในรายละเอียดแล้วจะพบว่า สถานการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงเมื่อเทียบกับวิกฤตที่เคยเกิดขึ้นทั้งซับไพรม์ และการระบาดของโควิด-19 ซึ่งเชื่อว่าถึงอย่างไรแล้วก็ต้องมีจุดที่จบลงได้ และทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาว่าจะกินเวลายาวนานแค่ไหน
เบื้องต้นมองว่า ผลที่จะเกิดขึ้นแสดงเป็นกราฟด้วยกัน 4 ระยะ นั่นคือ ช่วงแรกเป็นช่วงของการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และประเทศต่าง ๆ จากนั้นกราฟจะค่อย ๆ ดิ่งลงไปลึกขึ้น ซึ่งช่วงนี้น่าจะกินเวลาไปถึงช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้ถึงต้นปีหน้า ขึ้นอยู่กับการเจรจาว่าจะจบอย่างไร จากนั้นจึงจะเห็นระยะที่สองนั่นคือช่วงที่เป็นจุดต่ำที่สุดของเศรษฐกิจทั่วโลก
เมื่อผ่านพ้นจุดที่สองไปแล้ว จะค่อย ๆ เข้าสู่ระยะที่สาม นั่นคือการฟื้นตัว แต่ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ใช้เวลายาวนานเป็นปี และการฟื้นตัวก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการของแต่ละประเทศว่าจะฟื้นตัวได้อย่างไร มีวิธีอะไรในการช่วยพยุงการฟื้นตัวให้ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น และเมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว จะเริ่มเข้าสู่ระยะที่สี่ คือการที่เศรษฐกิจฟื้นตัวมาอยู่ในจุดที่นิ่ง แต่อาจจะไม่ได้ขยายตัวเท่ากับระยะแรก ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน
ผู้ว่าฯ ธปท.มองว่า ในแนวทางการรับมือของไทย โจทย์ใหญ่จากนี้คงไม่ใช่การออกมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการกระตุ้นการบริโภค โดยสิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องออกมาตรการให้ตรงจุดทั้งนโยบายการเงินและการคลัง ผ่านการออกมาตรการที่มีความเหมาะสมกับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ให้ช่วยปรับตัวอยู่รอดได้ โดยเฉพาะภาคผลิตที่ได้รับผลกระทบหนัก เช่น กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ อาหารแปรรูป และเครื่องจักร เป็นต้น
“โจทย์สำคัญ คือทำยังไงให้การช็อคที่เจอเบาบางลง ช่วยให้เกิดการปรับตัวในระยะยาว มาตรการที่จะออกมาก็ไม่ควรปูพรม เพราะแต่ละกลุ่มเจอรับผลกระทบต่างกัน มาตรการที่ออกมาก็ใช้ไม่เหมือนกัน เช่น กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติ ก็ต้องหาทางป้องกันไม่ให้ย้ายฐานการผลิต อีกเรื่องที่ห่วงคือ สินค้าที่จะทะลักเข้าไทยมาก ก็ต้องออกมาตรการมาดูแลให้ดี เช่น หาทางป้องกันการทุ่มตลาด หรือบังคับใช้มาตรฐานต่าง ๆ อย่างเข้มงวด”
อย่างไรก็ดีในส่วนของธปท.เองนั้น ก็ได้มีการเตรียมความพร้อมในการใช้มาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะมาตรการทางการเงินเข้าไปดูแล ผสมกับมาตรการอื่น ๆ อย่างในช่วงที่ผ่านมาก็มีมีกลไกของดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งตอนนี้ยอมรับว่า กระสุนต่าง ๆ ที่มีอยู่มีอยู่อย่างจำกัด จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพื่อรองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า