การบริหารการคลังของประเทศไทยมีรากฐานยาวนานตั้งแต่ยุคโบราณ แม้ในสมัยกรุงสุโขทัยจะยังไม่มีหน่วยงานเฉพาะด้านการคลัง แต่พระราชทรัพย์ของแผ่นดินก็ได้มาจากระบบ ส่วยสาอากร ซึ่งต่อมาเรียกว่าภาษี โดยมี 4 ประเภทสำคัญคือ จังกอบ, อากร, ส่วย และฤชา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มีการจัดระเบียบราชการผ่านระบบ “จตุสดมภ์” ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “กรมพระคลัง” มีหน้าที่ดูแลพระราชทรัพย์และผลประโยชน์ของแผ่นดิน รวมถึงการควบคุมการค้ากับต่างประเทศผ่านกรมท่าและการดูแลสินค้าในราชสำนัก ระบบนี้ยังคงพัฒนาต่อเนื่องจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2367–2394) ระบบการคลังมีความซับซ้อนมากขึ้น รัฐเริ่มใช้ระบบ “เจ้าภาษีนายอากร” โดยเปิดให้เอกชนประมูลสิทธิ์ในการจัดเก็บภาษีต่าง ๆ แล้วส่งรายได้ให้รัฐบาลตามที่ตกลงกันไว้ ระบบนี้ช่วยเพิ่มรายได้แผ่นดินอย่างมาก แม้จะแลกมาด้วยปัญหาการควบคุมที่ยากขึ้น
สมัย รัชกาลที่ 4 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบการคลังไทย เมื่อมีการลงนาม สนธิสัญญาบาวริง (พ.ศ. 2398) กับอังกฤษ ทำให้ไทยต้องยกเลิกการผูกขาดการค้า และเริ่มต้นการจัดเก็บภาษีศุลกากรตามหลักสากลผ่าน “ศุลกสถาน” หรือ “โรงภาษี” เป็นครั้งแรก รวมทั้งก่อตั้งโรงกษาปณ์เพื่อผลิตเงินเหรียญแบบสากล แทนเงินพดด้วงที่ใช้มาแต่โบราณ
การปฏิรูประบบการคลังอย่างจริงจังเริ่มขึ้นในสมัย รัชกาลที่ 5 โดยมีการจัดตั้ง “หอรัษฎากรพิพัฒน์” (พ.ศ. 2416) ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อควบคุมรายรับรายจ่ายของแผ่นดินอย่างเป็นระบบ และในปี พ.ศ. 2418 ได้มีการตรา พระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ ยกระดับหน่วยงานด้านการเงินให้มีสถานะเทียบเท่ากระทรวงในรูปแบบสมัยใหม่ โดยใช้คำภาษาอังกฤษว่า “Minister of Finance” ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของ กระทรวงการคลัง อย่างเป็นทางการ
การวางรากฐานการจัดทำ งบประมาณแผ่นดิน เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2439 ซึ่งรัฐบาลสามารถวางแผนรายรับรายจ่ายได้อย่างเป็นระบบ ต่อมาในปี พ.ศ. 2444 ได้มีการจัดพิมพ์งบประมาณรายจ่ายแผ่นดินฉบับแรก และแยกพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ออกจากรายได้ของรัฐอย่างเด็ดขาด เป็นการยกระดับธรรมาภิบาลด้านการคลังครั้งสำคัญ
สมัย รัชกาลที่ 6 และ 7 ระบบการคลังยังคงถูกพัฒนาให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยมีการจัดตั้งหน่วยงานสำคัญ เช่น กรมสรรพากร กรมบัญชีกลาง กรมตรวจเงินแผ่นดิน รวมถึงการตรา พระราชบัญญัติงบประมาณ พ.ศ. 2456 เพื่อกำหนดกรอบเวลาและหลักเกณฑ์ในการยื่นและอนุมัติงบประมาณ
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ประเทศไทยเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย มีการปรับเปลี่ยนชื่อจาก “กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ” เป็น “กระทรวงการคลัง” ในปี พ.ศ. 2476 พร้อมปรับโครงสร้างเป็น 8 กรมหลัก ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวง กรมบัญชีกลาง กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมสรรพากร ฯลฯ เพื่อให้สอดคล้องกับระบบรัฐสมัยใหม่
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กระทรวงการคลังยังคงมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยในปี พ.ศ. 2496 ได้ออก พระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลจัดตั้งรัฐวิสาหกิจในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการเศรษฐกิจ เช่น ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โรงงานสุรา และอื่นๆ
อีกหนึ่งก้าวสำคัญคือการจัดตั้ง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในปี พ.ศ. 2504 โดยมี ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นผู้อำนวยการคนแรก มีหน้าที่วิเคราะห์เศรษฐกิจและให้คำปรึกษาทางนโยบายแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นการเน้นบทบาทของกระทรวงฯ ในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจระดับมหภาค
ตลอดระยะเวลากว่า 150 ปีของการพัฒนา กระทรวงการคลังได้เปลี่ยนผ่านจากระบบราชการดั้งเดิม สู่ระบบการคลังสมัยใหม่ เพื่อบริหารการเงินแผ่นดินให้สมดุล โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวหน้าในเวทีโลกอย่างมั่นคง
ในโอกาสครบรอบ 150ปี กระทรวงการคลังได้จัดงาน MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย ระหว่างวันที่ 1-3 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ เวทีหลัก ชั้น G Hall 3-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,093 วันที่ 4 - 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2568