ประเด็นดอกเบี้ยนโยบาย ถูกหยิบยกมาพูดถึงอีกครั้ง เมื่อจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ครั้งแรกของปี 2568 ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลังระบุว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วยังช่วยเรื่องการส่งออก จากเงินบาทที่อ่อนค่าลง ซึ่งขณะนี้เงินบาทยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค
ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์หลายสำนักมีความเห็นแตกต่างกัน โดยเสียงส่วนใหญ่ในตลาดมีมุมมองและมีเหตุผลทั้ง “คงดอกเบี้ย” และ “ลดดอกเบี้ยได้เช่นกัน”
สอดคล้องกับคำแนะนำของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ให้ผ่อนคลายนโยบายการเงินได้ แต่เมื่อพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจ(จีดีพี) ไตรมาส4 ปีที่ผ่านมา แม้จะขยายตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 แต่น้อยกว่าที่ตลาดคาด สะท้อนโมเมนตัมไม่แรงเท่าที่เคยได้ประเมินไว้
ดังนั้น มุมมองส่วนใหญ่ จึงสนับสนุนกนง.ให้ “ยืนดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้” ที่ระดับ 2.25%ต่อปี ด้วยเหตุผลที่ต้องรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินหรือ “Policy space” และห่วงว่า อาจจะเกิดการเก็งกำไรค่าเงินได้
เพราะครึ่งปีแรกตลาดยังมองในเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เห็นได้จากเครื่องมือ /เครื่องยนต์ที่สนับสนุนและรอประเมินผลกระทบจากการดำเนินนโยบายทรัมป์ต่อการค้าไทย
ขณะเดียวกันอาจจะมีอานิสงส์เร่งส่งออกไปก่อน แต่ครึ่งปีหลังหากนโยบายทรัมป์เดินหน้าชัดเจน การจะผ่อนคลายนโยบายด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะเข้ามาในจังหวะที่เศรษฐกิจไทยต้องการ
“ครึ่งปีแรกยังมีโมเมนตัมหลายส่วนสนุนสนุนเศรษฐกิจไทยให้ไปต่อได้ แต่ครึ่งปีหลังอาจจะมีปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทยน้อยลง จึงหวะการลดดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังก็จะช่วยได้"
แม้ส่วนใหญ่จะมีมุมมองกนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่อีกฝั่งฟันธงลดดอกเบี้ย แต่ก็มีเหตุผลทั้งสองฝั่ง ดังนั้นเสียงกนง.ในรอบนี้จะไม่เป็นเอกฉันท์”
นายธนเดช รังษีธนานนท์ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) พายเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังน่าจะขับเคลื่อนไปได้ในครึ่งปีแรก เหตุผลจากงบประมาณภาครัฐปีนี้ดีกว่าเมื่อเทียบช่วงไตรมาส1 ปีที่แล้ว
นอกจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ดีขึ้น บวกกับมาตรการรัฐที่สนับสนุนอยู่ เอื้อต่อการบริโภคที่จะไปได้ และการลงทุนภาคเอกชนรวมทั้งบีโอไอมีสัญญาณที่ดีขึ้น เพียงแต่ตัวเลขจีดีพีในไตรมาส4ปีที่แล้วออกมาแย่กว่าคาด
สิ่งที่เป็นห่วงคือ ครึ่งปีหลัง เพราะหากดูตัวเลขคาดการณ์ของธปท.ก็จะห่วงว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีความท้าทายมาก โดยเฉพาะการพึ่งภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก ดังนั้นภาครัฐอาจจะต้องมีมาตรการเสริมอีกด้วย
"ส่วนตัวมองท่าทีคณะกรรมการกนง. น่าจะต้องปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ เพียงแต่ต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม และมีข้อมูลที่ชัดเจนแล้วโดยไม่ทำให้เกิดการเก็งกำไร"
ดังนั้น การประชุมกนง.ไม่น่าจะรีบร้อนลดดอกเบี้ยรอบนี้ แต่คะแนนเสียงอาจจะไม่เป็นเอกฉันท์ อาจจะเป็น 5:2 เพื่อบอกทิศทางกนง.ว่า ไม่ได้ฝืน ไม่ได้เคร่งที่จะไม่ลดดอกเบี้ย
พร้อมทั้งกนง.อาจจะสื่อสารถึงความเป็นห่วงเศรษฐกิจไทยและความไม่แน่น่อนจากนโยบายภาษีของทรัมป์ ซึ่งคาดเดายาก หากทรัมป์ขึ้นภาษี แล้วส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อสหรัฐ แต่ถ้าเมืองไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปก่อน อาจจะมีผลตามมา
ดังนั้น รอบการประชุมในวันที่ 26 ก.พ. กนง.น่าจะรอดูท่าทีการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ในเดือนมี.ค.หรือมาตรการต่างๆเกี่ยวกับภาษีของทรัมป์ เผื่อจะดูว่า ปัจจัยดังกล่าวจะมีผลต่อราคาสินค้าหรือราคาโภคภัณฑ์และเงินเฟ้อในสหรัฐหรือไม่
“ถ้ามองในมุมที่รอบคอบ กนง.อาจจะตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยในครั้งหน้าเดือนเม.ย.หรือเดือนมิ.ย.ก็ได้ ซึ่งอาจจะขัดใจภาคการเมือง"
ทั้งนี้เดือนต.ค.ปีที่ผ่านมา กนง.เซอร์ไพรส์ตลาด ด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อช่วยลูกหนี้ ภาคธุรกิจ ช่วยค่าเงินบาทให้อ่อนค่า กระตุ้นการส่งออก ดึงดูดการท่องเที่ยว และการลดภาระทางการจะเพิ่ม Incentive ให้แบงก์ปล่อยกู้ แต่เวลานี้ทิศทางสหรัฐยังไม่ผ่อนคลาย ทั้งความไม่แน่นอนจากปัจจยต่างๆ ไม่ว่า เศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ท่าทีของเฟด
ส่วนตัวมองเป็นไปได้ที่ กนง.น่าจะปรับลดประมาณการจีดีพีจากตัวเลขเดิมที่ 2.9%ในรอบนี้ อีกทั้งหากดูจากผลอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทย(บอนด์ยีลด์) ก็ไม่ได้สะท้อนว่า กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง โดยบอนด์ยีลด์ไทยระยะ 2ปี 10ปี ทิศทางยังคงทรงๆตัว ตั้งแต่เดือนม.ค.-ปัจจุบันบอนด์ระยะ 2ปีอยู่ที่ 2.02% หรือ 10ปี อยู่ที่ 2.27%
ในแง่ทิศทางค่าเงินบาทนั้น ตัวแปรหลักขึ้นอยู่กับทิศทางเงินดอลลาร์ ซึ่งที่ผ่านมาเงินดอลลาร์อ่อนค่าจากความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐจากนโยบายทรัมป์ รวมทั้งตลาดหุ้นสหรัฐที่ร้อนแรง
ส่วนตัวแปรที่เหลือมีทั้งเชิงบวก คือ ทิศทางฟันด์โฟลว์ ที่จะไหลเข้ามาในครึ่งปีแรก จากเม็ดเงินลงทุนโดยตรง(FDI) แนวโน้มดีขึ้น แต่ในเชิงลบ หลังประกาศจ่ายปันผลเงินอาจจะไหลออกบางส่วน ซึ่งต้องติดตามฟันด์โฟลว์
สอดคล้องกับนางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดกล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน แข็งค่าขึ้น 1.6% แข็งค่ารองจากเงินเยนอยู่ที่ 4.9% และเงินวอนอยู่ที่ 3.4%
ปัจจัยการแข็งค่าของเงินบาทและสกุลเงินเอเซียนั้น มาจาก เงินดอลลาร์ ซึ่งดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่า 1.7% และราคาทองคำ(Spot Gold) ขยับเพิ่มแล้ว 12.3% (คำนวณจากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 2,624.50ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็น 2,946.41 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
ทั้งนี้ เงินดอลลาร์เคยได้รับอานิสงส์ก่อนหน้า ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์จะเข้าบริหารประเทศ จากตลาดคาดว่าเฟดกลัวเงินเฟ้อ จะเข้ามาลดอัตราดอกเบี้ยช้า (เนื่องจากผลการดำเนินนโยบายของทรัมป์) และตลาดคาดว่า สกุลเงินในภูมิภาคเอเซียจะอ่อนค่า
แต่ปรากฎว่า ภายหลัง ทรัมป์เข้าบริหารประเทศ ภาพดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นชัดเจน ทำให้เกิดแรงทยอยขายเงินดอลลาร์ออกมาประกอบกับความกังวลต่อทิศทางนโยบายทรัมป์ ทำให้คนขายดอลลาร์หาที่พักเงินในสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งให้ราคาทองคำในตลาดโลกทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงที่ผ่านมา เงินบาทไม่ได้แข็งค่านำตลาด แต่เมื่อพิจารณาค่าความผันผวนของเงินบาทปีนี้ แนวโน้มสูงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ความผันผวนของค่าเงินบาทอยู่ที่ 7.9% เท่ากับปีที่แล้วทั้งปีอยู่ที่ 7.9%
ค่าความผันผวนของเงินบาทเป็นรองจากความผันผวนของเงินเยนอยู่ที่ 8.8% แต่ค่าความผันผวนของเงินบาทจะสูงกว่าค่าความผันผวนของสกุลเงินอื่นๆเมื่อเทียบกับสกุลเงินประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ที่กรอบความผันผวนอยู่ที่ 3.5-7.5% เช่น ริงกิตอยู่ที่ 7.4% เงินวอนอยู่ที่ 7.3%
สำหรับทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้ายหรือฟันด์โฟลว์นั้น ภาพรวมเป็น “ขาออก” ทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร(บอนด์) เห็นได้ จากตลาดบอนด์ ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันไหลออก 7,524 ล้านบาท เป็นการไหลออกต่อเนื่องจาก 66,767 ล้านบาทเมื่อสิ้นปีที่แล้ว ส่วนตลาดหุ้นไหลออกแล้ว 9,151 ล้านบาท จากปีที่แล้วไหลออก 147,940 ล้านบาท
แม้ว่า สถานการณ์โดยรวมจะไหลออกทั้งตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ไทย ที่น่าสังเกตุปลายม.ค.ปีนี้ เริ่มเห็นเงินทุนสลับไหลเข้ามาในตลาดบอนด์ไทยบ้าง สะท้อนเม็ดเงินขายทำกำไรดอลลาร์หาที่พักเงินในบอนด์ไทยบางส่วน
ล่าสุด 26 ก.พ. 2568 กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 2.25% เป็น 2.00% ต่อปี โดยให้มีผลทันที ขณะที่ 1 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากให้น้ำหนักมากกว่ากับการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นในระยะข้างหน้า
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,074 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม พ.ศ. 2568