เอเอ็มซีคึก เตรียมรับหนี้เสียทะลักครึ่งปีหลัง

05 มิ.ย. 2567 | 11:11 น.
อัปเดตล่าสุด :05 มิ.ย. 2567 | 11:11 น.

บริษัทเอเอ็มซีชี้ หนี้เสียแบงก์ไตรมาสแรกออกมาไม่มาก เหตุมีมาตรการ RL ของธปท.ที่เน้นช่วยเหลือลูกหนี้ก่อน ส่งผลหนี้เสียดีเลย์ 6 เดือน คาดทะลักครึ่งปีหลัง เหมือนน้ำในเขื่อน แต่ใช้บิ๊กแบคกั้นไว้ ยอมรับปีนี้เรียกเก็บหนี้ยากขึ้น

บริษัทบริหารสินทรัพย์หรือ เอเอ็มซี 81 แห่ง มีการรับซื้อหรือรับโอนหนี้ไตรมาสแรกปี 2567 จำนวน 256,905 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 4,524 ล้านบาทหรือ 1.79%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 252,381 ล้านบาท โดยมีบริษัทบริหารสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 6 รายจากช่วงเดียวกันปีก่อน รวมสินทรัพย์(รวมหนี้สินและส่วนของเจ้าของ) 280,066 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 0.14% จาก 279,688 ล้านบาท โดยมีทรัพย์สินรอการขายสุทธิ (เอ็นพีเอ)เพิ่มขึ้น 9.37% จาก 58,770 ล้านบาทเป็น 64,281 ล้านบาทและขาดทุนสะสม 163,650 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 164,833 ล้านบาท

เอเอ็มซีคึก เตรียมรับหนี้เสียทะลักครึ่งปีหลัง

ล่าสุดธนาคารออมสินร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM จัดตั้ง บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ ARI-AMC  ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งที่เป็น NPL และ NPA ได้เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ หรือไกล่เกลี่ยหนี้ โดยระยะแรกจะรับโอนหนี้จากธนาคารออมสิน 5 แสนบัญชี วงเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท

ธนาคารออมสินผนึก BAM จัดตั้ง บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ ARI-AMC 

นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เอเอ็มซีในระบบที่ดำเนินธุรกิจหลักในปัจจุบันมี 3-5 รายเท่านั้น ที่เหลืออาจยังไม่ดำเนินธุรกิจเต็มตัว จึงทำให้ภาพรวมแสดงผลขาดทุนสะสมอยู่ แต่การทำตลาดในระบบส่วนใหญ่ต่างคนต่างรับซื้อหนี้แตกต่างกันตามจังหวะ

นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน)

ดังนั้น สภาพการแข่งขันในระบบจะเห็นว่า ปริมาณหนี้มีมากกว่างบประมาณของเอเอ็มซีที่จะเข้าไปรับซื้อ ซึ่งต่างคนต่างซื้อ อย่าง JMT รับซื้อเฉพาะพอร์ตที่ IRR กำหนดคุณภาพผลตอบแทนและต้นทุนไว้แล้ว อย่างไตรมาสแรกปีนี้ใช้เงินน้อยมากหลักร้อยกว่าล้านบาท หนี้ที่ออกมาขายไม่มาก เพราะมีกระบวนการให้ความช่วยเหลือลูกค้าตามมาตรการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม(RL) ของธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) สำหรับหนี้เอ็นพีแอล

“แผนรับซื้อปีนี้อยู่ในสถานการณ์ต้องรอ เนื่องจากมีมาตรการ RL ซึ่งทำให้สถาบันการเงินต้องย้อนกลับไปทำกระบวนการช่วยเหลือก่อนและหลังเป็นเอ็นพีแอลก่อน ทำให้การประมูลขายหนี้ล่าช้าไป 6 เดือนเป็นอย่างน้อย จึงจะขายพอร์ตลูกหนี้ออกมา โดยมองว่า ครึ่งหลังปีนี้และปีหน้า จะเริ่มเห็นวอลุ่มกลุ่มมาสู่ระบบ เหมือนน้ำอยู่ในเขื่อน แต่เราใช้บิ๊กแบคกั้นสันเขื่อนไว้ ทำให้ไตรมาสแรกปีนี้ใช้เงินไม่มาก ต่างจาก 2 ปีที่ผ่านมาที่ตัวเลขหลักแสนล้านบาท” นายสุทธิรักษ์ กล่าว 

สำหรับ JMT มองภาพรวมธุรกิจบริหารหนี้จะมี JMT ยังเป็นหนึ่งในอีโคซิสเต็มของระบบบริหารหนี้ เป็นช่องทางสถาบันการเงินระบายหนี้เอ็นพีแอลลออกมาภายนอก โดยองค์กรหรือสถาบันการเงินสามารถโฟกัสในธุรกิจหลักเป็นสำคัญ ขณะที่แนวโน้มธุรกิจบริหารหนี้เป็นธุรกิจที่ดี โดยจะอยู่คู่กับธุรกิจสถาบันการเงิน แต่อัตราการเติบโตนั้น (ปริมาณเอ็นพีแอลมากหรือน้อย) ขึ้นอยู่กับทิศทางภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยแวดล้อม 

อย่างไรก็ตาม การรับซื้อหนี้เอ็นพีแอลปีนี้ กลุ่มใหญ่จะอยู่ในกลุ่มสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (stage 2) หรือ SM และรวมทั้งลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt : PD) เหล่านี้ต้องรอกระบวนการให้ความช่วยเหลือตามมาตรการของธปท.ก่อน จากนั้นจึงจะมีการทยอยออกมาประมูล ซึ่งราคารับซื้อยังประเมินตามคุณภาพพอร์ต

นายประชา ชัยสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด(มหาชน)หรือ CHASE กล่าวว่า แนวโน้มปีนี้ปริมาณหนี้น่าจะนำออกขายจำนวนมากคือ ซัพพลายยังมากกว่าดีมานด์ เพราะผู้ประกอบการหลักมีไม่มาก ส่วนภาพรวมที่มีบริษัทบริหารสินทรัพย์เพิ่มขึ้นนั้น เข้าใจว่าน่าจะเป็นการจัดตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจ ไม่ได้ดำเนินธุรกิจรับซื้อหนี้หรือบริหารหนี้อย่างเต็มตัวแต่อย่างใด 

นายประชา ชัยสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด(มหาชน)

สำหรับ CHASE จะเลือกซื้อเฉพาะพอร์ตลูกหนี้ที่บริษัทมีความชำนาญ เพื่อเน้นการเติบโตภายใต้ความยั่งยืน เห็นได้จากแผนการดำเนินธุรกิจที่จะทยอยสร้างพอร์ต 1 แสนล้านบาทในเวลา 5 ปี (นับตั้งแต่ปี 2565) ที่สำคัญบริษัทพยายามจะเพิ่มสัดส่วนกำไรมากกว่าพอร์ตที่จะรับซื้อเข้ามา แต่ภาพรวมปีนี้เป็นโอกาสของเอเอ็มซีจากแนวโน้มเอ็นพีแอลจะไหลและราคามีแนวโน้มจะลดลง

อย่างไรก็ตาม CHASE มีสัดส่วนซื้อหนี้มาบริหารอยู่ที่ 70% อีก 30% เป็นการรับจ้างบริหาร โดยไตรมาส 1-2 ปีนี้ใช้งบลงทุนไปแล้ว 390 ล้านบาทจากเป้าทั้งปี 1,000 ล้านบาทเท่ากับปีก่อน คงเหลืออีกกว่า 600 ล้านบาทน่าจะรับซื้อหนี้มาบริหารได้ประมาณ 5,000 ล้านบาทจากยอดคงค้างที่มีอยู่แล้ว 38,000 ล้านบาท ฐานลูกค้ากว่า 3 แสนราย ในจำนวนหนี้เป็นลูกค้าไม่มีหลักประกันเป็นหลัก และในส่วนพอร์ตรับจ้างติดตามทวงถามอีก 1.4 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงานสินเชื่อบุคคล บัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ 

“ยอมรับว่า การเรียกเก็บหนี้ปีนี้มีความยากขึ้น แถมมีมิจฉาชีพเป็นตัวแปร ทำให้การทำงานติดตามลูกหนี้ยากขึ้นด้วย และจากการรับซื้อพอร์ตลูกหนี้ สิ่งที่เราพบคือ รายได้ต่อเดือนลูกหนี้สูงขึ้นหลังเป็นเอ็นพีแอล ซึ่งกลุ่มหนี้มีีมากกว่า 50-60% มีปัญหาเรื่องขาดวินัย ควรให้ความรู้เรื่องวินัย แต่ก็มีบางรายที่รายได้ลดลงหลังเป็นเอ็นพีแอล กลุ่มนี้บริษัทจะแฮคัตให้มาก” นายประชา กล่าว

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 3,997 วันที่ 2 - 5 มิถุนายน พ.ศ. 2567