นายคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ กล่าววานนี้ (19 มี.ค.) ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคตนั้น จะขึ้นอยู่กับว่าเศรษฐกิจและสถานการณ์ด้านเงินเฟ้อมีพัฒนาการอย่างไร แต่เขาไม่คิดว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบเชิงรุก เมื่อพิจารณาจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังจากคณะกรรมการ BOJ ได้ตัดสินใจยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีในการประชุมเมื่อวันอังคาร (19 มี.ค.) นายอุเอดะกล่าวว่า การตัดสินใจยุตินโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ (ultra-loose monetary policy) และปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งสวนทางกับนโยบายการเงินของประเทศอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มกำลังจะปรับลดดอกเบี้ยกันนั้น สะท้อนให้เห็นว่า BOJ มีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่า จะสามารถบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ได้อย่าง “มีเสถียรภาพและยั่งยืน”
"เครื่องมือด้านนโยบายหลักของเรา จะเปลี่ยนไปมุ่งเน้นที่อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น" นายอุเอดะกล่าวกับผู้สื่อข่าว นอกจากนี้ ยังย้ำว่า การเจรจาปรับขึ้นค่าจ้างระหว่างฝ่ายบริหารและสหภาพแรงงานญี่ปุ่น หรือ ชุนโต (Shunto) ถือเป็นปัจจัยหลักที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของ BOJ ในครั้งนี้
"นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษได้ยุติลงแล้วในขณะนี้"
เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว สำนักข่าวเกียวโด สื่อใหญ่ของญี่ปุ่นรายงานว่า บริษัทรายใหญ่หลายแห่งซึ่งรวมถึงโตโยต้า มอเตอร์ และนิสสัน มอเตอร์ ได้เปิดเผยเมื่อเร็วๆนี้ว่า ทางบริษัทได้ตัดสินใจที่จะเสนอค่าจ้างในอัตราสูงสุดในรอบหลายสิบปีในระหว่างการเจรจาครั้งนี้
นายอุเอดะกล่าวว่า บริษัทที่มีขนาดเล็กอาจจะดำเนินการปรับขึ้นค่าจ้างตามทิศทางบริษัทรายใหญ่ พร้อมระบุว่า ค่าจ้างที่ปรับตัวขึ้นเป็นวงกว้างในภาคบริการ รวมทั้งการที่บริษัทญี่ปุ่นมีท่าทีเชื่อมั่นในการลงทุน และความเชื่อมั่นในหมู่ผู้บริโภคที่ฟื้นตัวขึ้นนั้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ BOJ นำมาใช้ประกอบการพิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในการประชุมครั้งล่าสุด
นอกจากการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0 ถึง 0.1% จากเดิมอยู่ที่ระดับ -0.1% ในการประชุมเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.) BOJ ยังได้ประกาศยกเลิกนโยบายควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (YCC) โดยนายอุเอดะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวควรจะถูกกำหนดโดยแรงขับเคลื่อนของตลาด (market forces) แต่ BOJ จะพยายามไม่ให้อัตราผลตอบแทนพุ่งขึ้นด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรเมื่อจำเป็น
"นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษได้ยุติลงแล้วในขณะนี้ แต่งบดุลบัญชีของ BOJ ที่มีการขยายตัวอันเนื่องมาจากการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและกองทุน ETF ในช่วงหลายปีที่ผ่านนั้น ก็ยังคงมีผลกระทบอยู่" นายอุเอดะกล่าว
ก่อนหน้านี้ นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ BOJ ก่อนหน้านายอุเอดะ ได้นำนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเป็นพิเศษและนโยบายดอกเบี้ยติดลบมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบและเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อของญี่ปุ่นจะมีเสถียรภาพ ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา (2566) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของญี่ปุ่นก็ขยับขึ้นแตะระดับ 2% ตามเป้าหมายของ BOJ แล้ว อีกทั้งการเจรจาปรับขึ้นค่าจ้างของฤดูใบไม้ผลิปีนี้ ก็ยังปรับขึ้นมาถึง 5.28% ซึ่งนับว่าสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี ทำให้ BOJ มั่นใจที่จะยุตินโยบายดอกเบี้ยติดลบ และเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ย แม้ว่าจะสวนทางกับแนวโน้มของธนาคารกลางในต่างประเทศ รวมทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยลงมาในปีนี้
โดยก่อนที่ผลการประชุมของเฟดจะออกมาในค่ำคืนนี้ (20 มี.ค. ตามเวลาประเทศไทย) นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 100% ต่อคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงิน (FOMC) โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.0% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค.2567
หลังจากนั้น นักลงทุนคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค. ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. 2567
ทั้งนี้ นักลงทุนพากันรอฟังถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด รวมทั้งการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ของเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในปี 2567
ก่อนหน้านี้ ในการแถลงต่อสภาคองเกรสช่วงต้นเดือนมีนาคม นายพาวเวลล์ส่งสัญญาณว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ แม้ว่าเฟดยังไม่มีกรอบเวลาชัดเจนสำหรับการดำเนินการดังกล่าว
ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) หลังการประชุม FOMC เดือนธ.ค.2566 เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งในปี 2567 โดยปรับลดครั้งละ 0.25% รวม 0.75% จากเดิมที่ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในการประชุมเดือนก.ย.2566
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดยังส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 4 ครั้งในปีหน้า (2568) โดยจะปรับลดครั้งละ 0.25% รวม 1.00%
ส่วนในปี 2569 เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.75% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของเฟดลดลงสู่ช่วง 2.00-2.25% ซึ่งใกล้กับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่ระดับ 2.50%