BOJ ยุตินโยบายดอกเบี้ยติดลบ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกตามคาด

19 มี.ค. 2567 | 05:02 น.
อัปเดตล่าสุด :19 มี.ค. 2567 | 05:41 น.

แบงก์ชาติญี่ปุ่น (BOJ) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีวันนี้ และยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบอย่างเป็นทางการ เปิดศักราชใหม่ของดอกเบี้ยขาขึ้นให้กับญี่ปุ่น โดยปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นสู่ระดับ 0 ถึง 0.1% จากเดิมที่อยู่ในระดับ -0.1%

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประกาศ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในการประชุมวันนี้ (19 มี.ค.) ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 17 ปีหรือนับตั้งแต่ปี 2550 พร้อมกับประกาศยกเลิกนโยบายควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (YCC) ซึ่งถือเป็นการยุติการใช้ นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ ที่ดำเนินการมาเป็นเวลานานและเป็นประเทศสุดท้ายของโลก หลังจากมีสัญญาณบ่งชี้ว่าค่าจ้างของญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นในปีนี้

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า คณะกรรมการ BOJ มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นสู่ระดับ 0 ถึง 0.1% จากระดับ -0.1%

นอกจากนี้ BOJ ได้ประกาศยุตินโยบายควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี โดยที่ผ่านมา BOJ ได้ใช้นโยบายควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวผ่านการซื้อและขายพันธบัตรดังกล่าว

แถลงการณ์ของ BOJ ยังระบุด้วยว่า BOJ จะยุติการซื้อกองทุน ETF และ J-REITS ซึ่งเป็นกองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่น และจะค่อย ๆ ปรับลดการซื้อตราสารหนี้เอกชน โดยวางแผนว่าจะยุติการซื้อตราสารหนี้เอกชนภายในระยะเวลา 1 ปี อย่างไรก็ดี BOJ จะยังคงเข้าซื้อพันธบัตรของรัฐบาลญี่ปุ่นในวงเงินเท่ากับในช่วงที่ผ่านมา

เป็นที่คาดหมายว่า BOJ จะประกาศขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในวันนี้ (19 มี.ค.2567)

การดำเนินการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า BOJ ได้ตัดสินใจถอนนโยบายการซื้อสินทรัพย์และการผ่อนคลายนโยบายการเงินซึ่งดำเนินการมาเป็นเวลานานหลายสิบปี ซึ่งนโยบายเหล่านี้มีเป้าหมายที่จะพยุงเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้รอดพ้นจากภาวะเงินฝืด

ที่ผ่านมานั้น BOJ ลังเลที่จะยุติการใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินแบบพิเศษ (ultra-loose monetary policy) แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาอาหารและพลังงานอยู่สูงกว่าเป้าหมายของ BOJ ที่ระดับ 2% มาเป็นเวลากว่า 1 ปีก็ตาม เนื่องจากคณะกรรมการ BOJ มองว่าการปรับตัวขึ้นของเงินเฟ้อจากราคาผู้บริโภคนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากราคานำเข้า

นายคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ มีกำหนดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในช่วงเวลาต่อไปของวันนี้ โดยตลาดจับตาถ้อยแถลงของนายอุเอดะอย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายในอนาคต ซึ่งสัญญาณเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อตลาดการเงิน

คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ ของญี่ปุ่นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ (Ultra Easing) ที่ BOJ นำมาใช้ระหว่างที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืดมายาวนานเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว

ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดว่า BOJ จะประกาศยุตินโยบายดังกล่าวและเตรียมขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 17 ปี เนื่องจากเริ่มเห็นการขยายตัวของเงินเฟ้อ ค่าจ้างปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 30 ปี และเศรษฐกิจญี่ปุ่นเองก็รอดพ้นภาวะถดถอยมาได้แล้ว  ดังนั้น จึงคาดว่า หากจะเกิดผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจกระทบไม่รุนแรงเพราะจะทยอยขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการลงทุนก็ยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น

ทุกปัจจัยชี้ ถึงเวลาขึ้นดอกเบี้ย

ตัวแปรสำคัญทางเศรษฐกิจเกือบทุกตัว ยกเว้นตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังไม่กระเตื้องนัก ล้วนบ่งชี้ว่าญี่ปุ่นพร้อมแล้วสำหรับการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งได้แก่

  • อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานแตะระดับ 2% ตามเป้าหมายของ BOJ แล้ว ตั้งแต่เมื่อปีที่ผ่านมา
  • การเจรจาปรับขึ้นค่าจ้างของฤดูใบไม้ผลิปีนี้ ได้ปรับขึ้นไป 5.28% ซึ่งนับว่าสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี
  • เศรษฐกิจญี่ปุ่นรอดพ้นจากภาวะถดถอย (recession) มาได้แล้ว

 

ผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ จะส่งผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบต่อภาคธุรกิจหลายกลุ่มด้วยกัน ทั้งในประเทศญี่ปุ่นเอง รวมถึงธุรกิจในต่างประเทศด้วย เพราะนอกจากจะเป็นผลกระทบโดยตรงจากดอกเบี้ยที่แพงขึ้นแล้ว ยังเป็นผลกระทบจากค่าเงินเยนที่คาดว่าจะ “แข็งค่าขึ้น” รวมทั้งผลกระทบทางอ้อมอื่นๆ

รายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเอง จัดอยู่ในกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบ เพราะญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะสูงที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยหนี้ดังกล่าวมีขนาดเป็นสองเท่าของจีดีพี อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังญี่ปุ่น ได้ตั้งงบเฉพาะกาลรองรับเอาไว้ โดยเพิ่มการคำนวณดอกเบี้ยจากปัจจุบันที่ 1.1% ไปเป็นอัตรา 1.9% สำหรับปีหน้า (2568) สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ภาระหนี้ที่รัฐบาลต้องชำระ เพิ่มขึ้นเป็น 27 ล้านล้านเยน (ราว 6.48 ล้านล้านบาท) หรือ1 ใน 4 ของงบประมาณประจำปี ขณะที่ BOJ คาดการณ์ว่า จะขาดทุนจากราคาพันธบัตรที่ลดลง ซึ่งเคลื่อนไหวผันผวนกับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นด้วย

กลุ่มอื่นๆที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบ คือ "บริษัทซอมบี้" ซึ่งเป็นบริษัทที่มีกำไรต่ำและสุ่มเสี่ยงต่อภาวะล้มละลาย กลุ่มนี้จะเผชิญแรงกดดันจากดอกเบี้ยขาขึ้น โดยข้อมูลจาก “เทย์โคขุ ดาต้าแบงก์” ชี้ว่า ในปี 2566 ญี่ปุ่นมีบริษัทซอมบี้อยู่ประมาณ 2.51 แสนราย หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 17.1% ของบริษัททั้งหมดในประเทศ

อีกกลุ่มที่เตรียมรับแรงปะทะจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น คือ กลุ่มลูกหนี้สินเชื่อบ้าน โดยรายงานล่าสุดของสำนักงานการเงินที่อยู่อาศัยในญี่ปุ่นพบว่า เกือบ 3 ใน 4 ของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในญี่ปุ่น ใช้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านแบบลอยตัว ซึ่งจะทำให้การขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของ BOJ กระทบต่อผู้กู้ซื้อบ้านโดยตรง นอกจากนี้ผ้เช่าบ้าน ก็ยังจะต้องพบกับอัตราค่าเช่าบ้านที่พุ่งสูงขึ้น

นักวิเคราะห์คาดการณ์ในเชิงลบว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นอาจชะลอตัวลง เช่นเดียวกับตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวอยู่แล้ว ก็อาจซบเซาลงไปอีก โดยก่อนหน้านี้ดัชนีการใช้จ่ายของผู้บริโภคญี่ปุ่นชะลอตัวลงเพราะผลกระทบเงินเฟ้ออยู่ก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม อาจยังต้องรอดูทิศทางต่อไป เนื่องจากในแง่บวก ผู้บริโภคอาจได้เปรียบจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น และยังมีการปรับขึ้นค่าแรงของภาคเอกชนอีกด้วย

แบงก์-ตลาดหุ้นยิ้มรับดอกเบี้ยขาขึ้น

บลูมเบิร์กรายงานว่า กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นในญี่ปุ่น โดยหลักๆ คือ กลุ่มสถาบันการเงิน โดยเฉพาะธนาคารท้องถิ่น เนื่องจากยุคดอกเบี้ยติดลบก่อนหน้านี้ส่งผลกระทบต่อการทำกำไรของธนาคารท้องถิ่น และภาคธนาคารเอง ก็เป็นอุตสาหกรรมที่ออกมาสนับสนุนการยุตินโยบายดอกเบี้ยติดลบของ BOJ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

กองทุนแบล็คร็อกคาดการณ์ว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยของญี่ปุ่นจะเป็นไปอย่างช้าๆ ส่งผลให้สภาพคล่องทางการเงินยังคงเอื้ออำนวยต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยกองทุนให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นกระจายหลากหลายทั้งประเทศ ตั้งแต่หุ้นเทคโนโลยีไปจนถึงหุ้นกลุ่มบริษัทก่อสร้างและการเงินซึ่งล้วนมีโอกาสที่จะเติบโต

นางมิจิโกะ ซากาอิ ผู้จัดการบริษัทจัดการหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน แอสเส็ท แมเนจเมนท์ ให้ความเห็นว่า ควรเลือกลงทุนในบริษัทประกันภัยมากกว่าธนาคาร เนื่องจากผลตอบแทนสูงกว่า และการปฏิรูปการกำกับดูแลก็ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

รายงานข่าวระบุว่า ดัชนีนิกเกอิ 225 ของญี่ปี่นพุ่งทะยานแตะ 40,000 จุด เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แม้พลวัตการขึ้นจะชะลอลงบ้าง แต่การปรับฐานเล็กน้อยนี้ ไม่สามารถหยุดนักลงทุนได้ ขณะเดียวกันก็ทำให้นักลงทุนเลือกหุ้นอย่างละเอียดมากขึ้น

ผลกระทบที่มีต่อค่าเงิน

หลังเศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมาฟื้นตัว การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับค่าเงินเยนต่อ USD เป็นไปในทิศทางที่ว่า หาก BoJ ยกเลิกนโยบายทางการเงินผ่อนคลายพิเศษและนโยบายดอกเบี้ยติดลบ จะทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ USD ทำให้เงินบาทต่อ USD ก็มีโอกาสแข็งค่ากว่าดัชนีค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งเป็นนัยว่าตลาดหุ้นไทยอาจได้อานิสงส์เชิงบวกจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ