ในงานสัมมนา "Road To NET ZERO โอกาสและความท้าทายทางธุรกิจ " จัดโดย หนังสือพิมพ์ "ฐานเศรษฐกิจ" เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2566 ณ ห้องรอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน
นายพูนสิทธิ์ ว่องธวัชชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัการใหญ่ ผู้บริหารสายงานการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลสู่ความยั่งยืน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงนโยบายของธนาคารฯ ว่าได้ความสำคัญในเรื่อง"ความยั่งยืน : ESG" โดยได้บรรจุให้เป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ขององค์กร และวางเป้าหมายที่จะเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีความยั่งยืนสูงสุดในประเทศ
"กรุงศรีฯ ตั้งเป้าหมายสู่ NET ZERO ภายในปี 2050 ( พ.ศ. 2593) จากเป้าหมายนโยบายประเทศที่ตั้งไว้ภายใน 2065 ( พ.ศ.2608 ) ดังนั้นภายในปี 2050 พอร์ตสินเชื่อแบงก์ ต้องเป็น NET ZERO "
ทั้งนี้ธนาคารได้ตั้งวงเงินสินเชื่อเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน (ESG) ระดับ 5 หมื่นล้านบาท ถึง 1 แสนล้านบาท ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573 ) โดยสนับสนุนสินเชื่อในอุตสาหกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม และสินเชื่อที่ช่วยชดเชยผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม พร้อมปรับนโยบายลดและไม่เพิ่มวงเงินสินเชื่อให้กับธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหิน ธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง ฯลฯ โดยพยายามที่ลดสินเชื่อกลุ่มนี้ให้เป็นศูนย์ตามเป้าหมายที่กำหนดในปี 2030" นายพูนสิทธิ์ กล่าว
นอกจากนี้กระบวนการพิจารณาสินเชื่อจะเพิ่มมิติ ESG เข้าไปใช้ในการตัดสินใจมากขึ้น โดยกรุงศรี ฯ ได้แบ่งกลุ่มสินเชื่อเป็น 3 ประเภท คือ
ธนาคารกรุงศรี ฯ มีเป้าหมายที่จะสนับสนุนเงินให้สินเชื่อกับธุรกิจที่ส่งเสริมเรื่องความยั่งยืน 50,000 ล้านบาท - 100,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมา ธนาคารกรุงศรีฯได้ให้การสนับสนุนสินเชื่อกลุ่ม ESG ( E:สิ่งแวดล้อม ,S:สังคม และ G:ความยั่งยืน ) ในปี 2564 ปล่อยกู้วงเงิน 110,390 ล้านบาท , ปี 2565 วงเงิน 154,504 ล้านบาท และ 6 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 164,562 ล้านบาท โดยจะเห็นว่าแต่ละปีสินเชื่อกลุ่ม ESG เพิ่มต่อเนื่องและเติบโตอย่างรวดเร็ว
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) กล่าวว่า ธสน.มีความมุ่งมั่นที่จะสร้าง Green Financing จากเป้าหมายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ภาครัฐกำหนดว่าต้องเข้าสู่ "Carbon Neautrality " และต้องเพิ่มพอร์ตสินเชื่อ " สิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (ESG )" ภายในปี 2030 ( พ.ศ. 2573 ) ให้ได้ 50% แต่ปัจจุบัน ธสน.สามารถสร้างพอร์ตสินเชื่อกลุ่มนี้ที่ 30% และคาดว่าภายในปี 2028 (พ.ศ. 2571 ) จะเพิ่มพอร์ตสินเชื่อสีเขียวให้เป็น 50% ของพอร์ตรวม และจากแนวโน้มจากดีมานด์สินเชื่อสีเขียวที่เติบโตเฉลี่ยมากกว่าปีละ 10% เทียบสินเชื่อปกติทั่วไปที่โตปีละ 4-5% จะช่วยดึงต้นทุนจากการระดมทุนผ่านกรีนบอนด์ ให้ราคาลดลง
ดร.รักษ์ กล่าวต่อว่า ในปี 2565 ธสน.ได้ออกกรีนบอนด์ วงเงิน 5,000 ล้านบาท จนนำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์การเงินสินเชื่อ "EXIM Green Start " ปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี วงเงินสูงสุด 200 ล้านบาทต่อราย ในอัตราดอกเบี้ยไม่ถึง 5.00% ต่อปี นอกจากนี้ บทบาท ธสน.ยังมุ่งสนับสนุนแหล่งเงินให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในระยะเริ่มต้นในช่วง 3 ปีแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจยังมีความเสี่ยง เพื่อให้ธุรกิจยืนได้ก่อนต่อยอดไปใช้สินเชื่อในวงเงินที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจากธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนการเติมความรู้และโอกาสเพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กได้เข้าใจและเข้าถึงธุรกิจ ESG เพื่อสู่เป้าหมาย NET ZERO
"ธสน.อยากเชิญชวนให้เกิดการจับคู่ ต่อจิ๊กซอร์ สร้าง Supply Chain ได้ตั้งแต่ต้นน้ำคือแหล่งเงิน ไปถึงธุรกิจที่มีการใช้สินเชื่อสีเขียวทั้งระบบได้ หากทำได้เชื่อว่าในที่สุดจะดึงต้นทุนสินเชื่อกลุ่มนี้ลดลง"