แบงก์รัฐ เฮ ครม.ไฟเขียวขยายเวลาลดเงินนำส่งกองทุนฯ ถึงสิ้นปี 66 

14 ก.พ. 2566 | 09:25 น.

ครม.เห็นชอบขยายเวลาแบงก์รัฐลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเหลือร้อยละ 0.125 ต่อไปอีก 1 ปี

14 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบการขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 4 แห่ง

  • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)
  • ธนาคารออมสิน
  • ธนาคารอาคารสงเคราะห์
  • ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย(ธอท.)

โดยปรับลดเงินนำส่งเหลือร้อยละ 0.125 ต่อปีของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชนโดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. -31 ธ.ค.66 และให้กลับไปใช้อัตราร้อยละ 0.25 ต่อปี สำหรับการนำส่งตั้งแต่ปี 67 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังรายงานว่า เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลต่อลูกค้าของสถาบันการเงินเฉพาะกิจซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ผู้ประกอบการรายย่อยและประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มฐานรากทำให้ยังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ

ประกอบกับขณะนี้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคได้ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพของประชาชน สถาบันการเงินเฉพาะกิจยังจำเป็นต้องดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผ่อนปรนภาระให้กับลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ 

ดังนั้น เพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจสามารถดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนได้ต่อเนื่อง กระทรวงการคลังจึงเห็นสมควรเสนอให้ขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาสถาบันการเงินของธนาคารเฉพาะกิจทั้ง 4 แห่งออกไปอีก 1 ปี 

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า กองทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจนี้เกิดขึ้นตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.กองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ.2558  มีวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้มั่นคงและมีเสถียรภาพ

โดยมาตรา 15 ได้กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีหน้าที่นำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ในอัตราที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความเห็นชอบของ ครม. แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปีของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน ซึ่งครม.ได้เห็นชอบกำหนดอัตราที่ร้อยละ 0.25 ต่อปี โดยบังคับมาตั้งแต่ปี 60 

อย่างไรก็ดี ครม.ได้เห็นชอบให้มีการปรับลดอัตราเงินนำส่งเหลือกึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 0.125 ในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโควิด19 ระหว่างปี 63-65 เพื่อลดภาระสถาบันการเงินเฉพาะกิจและให้สถาบันการเงินมีสภาพคล่องสำหรับดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19