‘นวนคร’เดินตลาดเชิงรุก ใช้2ตัวเร่งดันลงทุนคึกคักสวนกระแสศก.

17 ก.ย. 2559 | 12:30 น.
ปี2559 ฐานการผลิตไทยเข้าสู่โหมดไม่เอื้อที่จะเป็นฐานการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก อีกทั้งประเทศคู่แข่งได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าเช่นสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป( จีเอสพี) ขณะที่อินโดนีเซีย เวียดนามมีตลาดภายในประเทศที่ใหญ่กว่า ทำให้การลงทุนจากทั่วโลกมีทางเลือกมากขึ้น โดยกระจายความเสี่ยงลงทุนไปยังประเทศต่างๆ

  2ตัวเร่งปลุกทุนในพื้นที่

ล่าสุด “ฐานเศรษฐกิจ”สัมภาษณ์ นิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาสวนอุตสาหกรรมนวนครที่จังหวัดปทุมธานีและสวนอุตสาหกรรมนวนครที่จังหวัดนครราชสีมา โดยพลิกวิกฤติเป็นโอกาส จนทำให้พื้นที่สวนอุตสาหกรรมนวนครมีสีสันมากขึ้นในปีนี้ โดยฉายภาพให้เห็นการเดินตลาดเชิงรุก ถึงตัวช่วยที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนในพื้นที่มีความคึกคักสวนกระแสเศรษฐกิจที่ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติในขณะนี้ โดยมี 2 ตัวเร่งหลักที่สนับสนุนคือ

1.บริษัทมีการลงทุนด้านระบบสาธารณูปโภคภายใน โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าเฟสแรกมูลค่าลงทุนราว 6,000 ล้านบาท ที่เพิ่งเปิดตัวโรงผลิตไฟฟ้านวนคร ที่จังหวัดปทุมธานีไปด้วยกำลังผลิต125 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 30 ตัน/ชั่วโมง ที่จะเริ่มรับรู้รายได้เต็มที่ปี 2560 โดยการร่วมทุนระหว่างบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด 40% บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) 30% และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) 30% และเตรียมต่อยอดเดินแผนเฟส2 อีกจำนวน 50-60 เมกะวัตต์ ซึ่งจะใช้เงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้โครงการ และจะยื่นรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2560 นี้

รวมถึงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมนวนครปทุมธานี ที่มีกำลังผลิตน้ำดิบ 80,000 คิวต่อวัน หรือ 250,000 คิวต่อเดือน มีการจ่ายน้ำให้ลูกค้าในพื้นที่ดังกล่าวกว่า 200 โรงงาน รวมหอพัก และพื้นที่พาณิชยกรรม โดยมีการจ่ายน้ำกว่า 50,000 คิวต่อวัน

2.มีแรงส่งจากนโยบายภาครัฐที่ออกมากระตุ้นการลงทุนทั้งระบบ ตั้งแต่รากหญ้า และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศหรือเอฟดีไอ เช่น การให้สิทธิประโยชน์สูงสุดกับโรงงานที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงโดยเฉพาะ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมจากปี 2520 โดยกำหนดให้สามารถยกเว้นภาษีเงินได้เป็นเวลา 13 ปี สำหรับกิจการที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง การวิจัยและพัฒนา อีกทั้งมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ 10 กลุ่ม ที่ออกมา จึงเป็นตัวเร่งที่ทำให้ลูกค้าที่ชะลอการตัดสินใจก่อนหน้านั้นตัดสินใจลงทุนได้เร็วขึ้น

 รายเก่า-ใหม่เดินสายคึกคัก

จาก 2 ตัวเร่งดังกล่าว ทำให้ตั้งแต่ต้นปีต่อเนื่องมาถึงปลายปีนี้สวนอุตสาหกรรมนวนคร มีนักลงทุนเดินเข้า-ออกเพื่อติดต่อขอข้อมูลด้านการลงทุนและการใช้พื้นที่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดสัดส่วนของกลุ่มลูกค้ารายเก่าและรายใหม่กลุ่มละ50%ที่ตบเท้าเข้ามาและเกิดการลงทุนจริง ยกตัวอย่างเช่น ที่ปทุมธานี บริษัท โรม อินทิเกรเต็ด ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ในญี่ปุ่น เปิดส่วนขยายใหม่ในไทยลงทุนรวมกว่า 3 พันล้านบาท โดยใช้ที่ดินผืนใหญ่ขนาดกว่า 100ไร่ , บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ขยายพื้นที่เพื่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเครื่องจักรกลเพื่อการเกษตรพร้อมทั้งออกแบบ พัฒนา และผลิตในไทย โดยจะเป็นฐานการวิจัยและพัฒนาของอาเซียน, บริษัท ฮะจิบัง ราเมน อุตสาหกรรมอาหารฯ เดิมมีพื้นที่ 8 ไร่ ซื้อที่ดินเพิ่มอีก 21 ไร่ รวมพื้นที่ทั้งสิ้น29 ไร่ สำหรับการผลิตบะหมี่สำเร็จรูป ยังไม่รวมลูกค้ารายใหม่ที่เข้าพื้นที่ เช่นเดียวกับสวนอุตสาหกรรมนวนครที่โคราช ที่มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 2,000ไร่ ที่ผ่านมามีทุนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนรถยนต์ เข้ามาลงทุนมากที่สุด ขณะนี้เหลือพื้นที่อุตสาหกรรมรอขายอีก 800 ไร่ ที่กำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มทุนรายใหญ่ที่เข้ามาติดต่อแล้วมากขึ้น โดยที่ผ่านมาลูกค้าในพื้นที่ทั้ง 2 แห่งจะมีทุนสัญชาติญี่ปุ่นลงทุนในพื้นที่มากเป็นอันดับ 1

อย่างไรก็ตามขณะนี้อุตสาหกรรมยา วัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาหารสำเร็จรูป ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในพื้นที่มีการขยายตัวทางธุรกิจมากขึ้น ทำให้ยอดขายที่ดินปีนี้น่าจะทำได้ตามเป้าที่ 400-500 ล้านบาท ปัจจุบันนิคมฯ นวนคร จ.ปทุมธานี มีพื้นที่อยู่ 6,600-6,700 ไร่ โดยมีพื้นที่ที่เหลือรอการขายกว่า 200 ไร่ และอีกกว่า 100 ไร่เป็นพื้นที่ที่จะพัฒนาเชิงพาณิชย์ และมีที่ดินแปลงใหม่อีกราว 90 ไร่ที่เพิ่งซื้อเข้ามาพัฒนา

 เตรียมทำระบบดาต้าเซ็นเตอร์ในพื้นที่

ซีอีโอ บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน)กล่าวถึงตัวธุรกิจของกลุ่มนวนครแบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ 1.พัฒนาที่ดินและโรงงานให้เช่า ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ราว 35-40% 2.น้ำดิบ 3.ไฟฟ้า 4.บริการสาธารณูปโภคอื่นๆ เช่น ระบบรักษาความปลอดภัย การกำจัดขยะ โดยข้อ 2-4 จะมีรายได้ 60-65% โดยที่ผ่านมาทั้งกลุ่มจะมีรายได้รวมต่อปีราว 1,400 ล้านบาท มากน้อยจะยืดหยุ่นไปตามภาวะเศรษฐกิจในแต่ละปี เพราะบางปีจะขายพื้นที่ได้มา ล่าสุดเตรียมทำระบบดาต้าเซ็นเตอร์ โดยบริษัทจะเป็นเมนไลน์สายสื่อสารในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี

 ยกระดับคน-เทคโนโลยีชิงได้เปรียบ

ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจปี 2560 เชื่อว่าจะดีขึ้น จากมาตรการรัฐที่เริ่มมองเห็นผลจากการลงทุนชัดเจน และเกิดการลงทุนจริง ขณะที่งบประมาณการลงทุนภาครัฐก็เริ่มลงระบบโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งหมดเมื่อเกิดการกระตุ้น เกิดกำลังซื้อ ก็จะทำให้บรรยากาศการลงทุนคึกคักตามมา

อย่างไรก็ตามในแง่การแข่งขันในธุรกิจเดียวกันในประเทศ โดยส่วนตัวมองว่าแต่ละค่ายก็มีพื้นที่ตั้งที่มีความได้เปรียบ และขึ้นอยู่ที่ประเภทอุตสาหกรรมด้วย เช่น กลุ่มอาหาร ยา และอิเล็กทรอนิกส์ ต้องอยู่ใกล้เมือง ขณะที่ปิโตรเคมี และการประกอบยานยนต์ ก็ต้องไปตั้งโรงงานอยู่ในพื้นที่ใกล้ท่าเรือ เป็นต้น

ขณะที่การแข่งขันระหว่างประเทศคู่แข่งในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอื่นๆนั้น ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านมีความได้เปรียบเรื่องค่าแรงงาน ในขณะที่ไทยยังมีความได้เปรียบในระบบโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ ซึ่งในอนาคตประเทศคู่แข่งอาจจะไล่ทันได้เมื่อแต่ละประเทศมีการพัฒนาเศรษฐกิจภายใน ดังนั้นเราจำเป็นต้องยกระดับคนและเทคโนโลยีให้ก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,192 วันที่ 15 - 17 กันยายน พ.ศ. 2559