วิจัยกสิกรไทยเกาะติดหนี้ธุรกิจไทยจากเครดิตบูโร:ภาพหนี้เสียยังเพิ่มขึ้น

25 ธ.ค. 2568 | 14:03 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ธ.ค. 2568 | 14:19 น.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบลูกค้าที่เพิ่งค้างค้างชำระใหม่ไม่เกิน 30วันใช้เวลา 3เดือนปรับโครงสร้างหนี้มีประสิทธิผลดีถึง 70%ของจำนวนบัญชีที่เข้าทำTDR สวนทางรายที่เป็นเอ็นพีแอลแล้วใช้เวลาแก้หนี้นานขึ้นเป็น 1ปีกว่าจะกลับมาจัดชั้นปกติลดลงเหลือสัดส่วนเพียง 8%

Key Focus

• การวิเคราะห์ฐานข้อมูลนิติบุคคล (ที่ไม่ระบุตัวตน) ขนาดใหญ่ของเครดิตบูโร ชี้ว่า ปัญหาคุณภาพหนี้ของสินเชื่อธุรกิจยังถดถอยลงต่อในช่วงครึ่งแรกของปี 2568

• แม้จะมีการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกจากผู้ให้บริการสินเชื่อ แต่สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็กและย่อมก็ยังเปราะบางกว่ากลุ่มธุรกิจรายใหญ่อย่างต่อเนื่อง

• คุณภาพหนี้ของหลายธุรกิจได้รับผลกระทบจากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวของอำนาจซื้อ และการแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ อาทิ ที่พักแรม การผลิต ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และค้าส่งค้าปลีก

• จุดติดตามสำคัญอยู่ที่ประสิทธิภาพของการปรับโครงสร้างหนี้ที่ลดลง ทำให้การอาศัยการปรับโครงสร้างหนี้แต่เพียงลำพัง โดยที่ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่แท้จริงไม่ได้เปลี่ยนแปลงนั้น คงดำเนินการได้เพียงอีกระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

 

หนี้ด้อยคุณภาพของภาคธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น

หนี้เสียของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นมาที่ 3.94% ในไตรมาส 2/2568

จากข้อมูลของเครดิตบูโร หนี้ค้างชำระเกินกว่า 90 วันของบัญชีสินเชื่อธุรกิจ (รวมเฉพาะบัญชีนิติบุคคล หรือ Juristic Persons ที่ไม่เปิดเผยตัวตน) ขยับขึ้นจาก 3.72% ของสินเชื่อรวมในไตรมาส 1/2568 มาที่ 3.94% ในไตรมาส 2/2568 โดยยังคงเป็นระดับที่แย่กว่าจุดที่ดีที่สุดในช่วง 1 ปี หลังจากช่วงโควิด-19 ที่ทำไว้ในไตรมาส 2/2566 ซึ่งมีสัดส่วนเอ็นพีแอลที่ 3.76% ต่อสินเชื่อรวม

เมื่อจำแนกตามระยะเวลาการค้างชำระ พบว่าสัดส่วนหนี้ค้างชำระ 31-90 วันไหลตกชั้นไปสู่ชั้นที่ค้างชำระมากกว่า 90 วันขึ้นไป มากขึ้น (รูปที่ 2) ซึ่งชี้ว่าความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจยังคงไม่เข้าสู่สถานการณ์ปกติ ขณะที่ สัดส่วนหนี้ที่เพิ่งค้างชำระ 1-30 วันขยับเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า

แม้จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ในสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มอื่น แต่ธุรกิจขนาดเล็กก็ยังปรากฏสัญญาณเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างต่อเนื่อง

ในรายงานฉบับนี้ จะจัดแบ่งบัญชีสินเชื่อธุรกิจตามขนาดธุรกิจโดยอ้างอิงนิยามขนาดธุรกิจตามเกณฑ์ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. (ตารางที่ 1) ซึ่งปรับเปลี่ยนจากรายงาน In-depth ฉบับก่อนที่แบ่งขนาดธุรกิจตามวงเงินสินเชื่อ

 

ภายใต้เกณฑ์ Responsible Lending ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนโยบายการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกของสถาบันการเงิน ทำให้ยังเห็นภาพการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและย่อม

ดังจะเห็นได้จากจำนวนบัญชีสินเชื่อธุรกิจที่มีการปรับโครงสร้างหนี้ของธุรกิจ Micro เพิ่มขึ้นมามีสัดส่วนที่ 14.94% ต่อจำนวนบัญชีโดยรวมของสินเชื่อธุรกิจ Micro (เทียบกับ 12.68% ในไตรมาสก่อนหน้า) ตามมาด้วยธุรกิจ Small ที่ 8.92% ต่อจำนวนบัญชีโดยรวมของธุรกิจ Small (เทียบกับ 8.39% ในไตรมาสก่อนหน้า)

นอกจากนี้ สัดส่วนหนี้ค้างชำระของกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและย่อมยังคงเพิ่มสูงขึ้น ทั้งหนี้ที่เพิ่งค้างชำระ 1-30 วัน และหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน นอกจากหนี้ สัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพของธุรกิจขนาดกลาง ก็ขยับขึ้นเช่นกัน (รูปที่ 4) ไม่ว่าจะเป็นในมุมของสัดส่วนจำนวนบัญชี หรือยอดคงค้างสินเชื่อต่อสินเชื่อรวม

 จัดแบ่งหนี้ตามพฤติกรรมชำระหนี้ ย้ำภาพปัญหาลามขึ้นสู่ธุรกิจรายใหญ่ขึ้น

เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ทำให้ธุรกิจขนาดที่ใหญ่ขึ้น เริ่มอยู่ยาก

เพื่อให้เห็นภาพเชิงพฤติกรรมการชำระหนี้ที่ชัดเจนขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงได้จัดแบ่งกลุ่มหนี้ธุรกิจใหม่ตามลักษณะการชำระหนี้รายบัญชีในรอบ 1 ปีย้อนหลังของแต่ละจุดของเวลา โดยเริ่มจากการวิเคราะห์จากรหัสบัญชีตามฐานข้อมูล Commercial Database ของเครดิตบูโร และจัดเกรดสถานะของบัญชีที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการชำระหนี้

จึงสามารถแบ่งสถานะบัญชีของหนี้ธุรกิจออกมาเป็น 4 กลุ่ม คือ

1. สถานะปกติ (Good)

2. สถานะเริ่มมีปัญหาการค้างชำระของหนี้ (Newly Impaired)

3. สถานะดีสลับแย่ซึ่งมีพฤติกรรมการค้างชำระหนี้ และกลับมาจ่ายได้ และ/หรือกลับมาค้างชำระอีกครั้ง (On-Off) และ

4. สถานะที่มีปัญหารุนแรง (Distressed) ซึ่งมีการค้างชำระหนี้อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา โดยสถานะหนี้กลุ่มที่ 2-4 ตามมุมมองของแบงก์และเครดิตบูโร คือ บัญชีที่มีสถานะไม่ปกติ โดยมักจะจัดอยู่ในกลุ่มเอ็นพีแอล พักหนี้ หรืออยู่ระหว่างกระบวนการทางกฎหมาย เป็นต้น

ผลการศึกษาชี้ว่า สัดส่วนจำนวนบัญชีธุรกิจในกลุ่ม Good ปรับลดลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับ % ROE ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสะท้อนว่า แม้แต่กิจการขนาดใหญ่อย่างเช่นบริษัทจดทะเบียนยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจต่อทิศทางรายได้ธุรกิจได้

ธุรกิจ Micro มีสัดส่วนจำนวนบัญชี Good ลดลงมาที่ 78.5% ขณะที่ บัญชีส่วนที่เหลือส่วนใหญ่กระจายอยู่ในกลุ่ม Distressed และ Newly Impaired (รูปที่ 6) นอกจากนี้ ประเภทธุรกิจที่สามารถชำระหนี้ได้ต่อเนื่องมีสัดส่วนลดลง กระจายไปในทุกประเภทธุรกิจหลัก (รูปที่ 7)

เมื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูล 3 มิติพร้อมกัน ได้แก่ 1. พฤติกรรมชำระหนี้ (Grading 4 กลุ่ม ได้แก่ Good, Newly Impaired, On-Off และ Distressed) 2. ขนาดธุรกิจ และ 3. ประเภทธุรกิจ ซึ่งมีความแตกต่างและให้มุมมองที่ลึกและละเอียดมากขึ้นกว่าการนำเสนอในรายงาน In-depth ฉบับก่อนหน้า พบจุดที่น่ากังวลว่า ปัญหาการชำระหนี้ลามมาที่ธุรกิจรายใหญ่ชัดเจนขึ้น

โดยเฉพาะธุรกิจในกลุ่มค้าปลีกค้าส่ง รวมถึงธุรกิจกลุ่มที่พักแรม และบริการอื่นๆ ซึ่งเผชิญกับโจทย์ท้าทายหลายด้านพร้อมกัน ทั้งอำนาจซื้อที่จำกัดลงมากของตลาดในประเทศ และการฟื้นตัวที่ไม่ต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว

ขณะที่ ธุรกิจขนาดกลางและย่อมในภาคการผลิต ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และที่พักแรม ต่างก็เผชิญสถานการณ์ที่กดดันมากขึ้น เพราะไม่ได้จะต้องรับมือกับผลกระทบจากปัญหาการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ การแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากจีน รวมถึงปัญหาข้อจำกัดด้านรายได้ของครัวเรือนเท่านั้น แต่ต้องหาทางหมุนสภาพคล่องไปด้วยในเวลาเดียวกัน เนื่องจากมีสายป่านที่สั้นกว่ารายใหญ่

 สัญญาณเริ่มเตือนปัญหาคุณภาพหนี้ของหลายธุรกิจ   หากเทียบกับช่วงโควิด-19 พบว่า สถานการณ์สินเชื่อที่มีการชำระหนี้ไม่ปกติ โดยเฉพาะกลุ่มก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน อยู่ในภาวะที่แย่กว่าแล้ว นั่นคือ มีสัดส่วนสินเชื่อที่มีการชำระหนี้ไม่ปกติที่ 8.2% สูงกว่าช่วงโควิด-19 ที่ 7.3%

ประเด็นติดตาม คือ ประสิทธิผลของการปรับโครงสร้างหนี้ที่เริ่มลดลง

จากการศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า การปรับโครงสร้างหนี้จะมีประสิทธิผลดีเมื่อดำเนินการกับหนี้ที่เพิ่งค้างใหม่ ๆ นั่นคือ หากเข้าไปจัดการปรับโครงสร้างหนี้ในกลุ่มลูกหนี้ที่ยังไม่เป็นเอ็นพีแอลอย่างทันท่วงทีแล้ว จะสามารถช่วยฟื้นสถานะให้หนี้รายนั้นกลับมาเป็นหนี้ปกติหรือมีวันค้างชำระไม่เกิน 30 วันได้ถึง 70% ของจำนวนบัญชีที่เข้าไปปรับโครงสร้าง ในช่วง 3 เดือนถัดมา แต่หากปรับโครงสร้างกับหนี้ที่เป็นเอ็นพีแอลแล้ว สัดส่วนหนี้ที่จะกลับมาจัดชั้นปกติจะลดลงเหลือ 8% และจะต้องใช้เวลาแก้หนี้นานขึ้นเป็น 1 ปี

ขณะที่เมื่อพิจารณาข้อมูลในอีกมิติหนึ่งเพื่อประเมินประสิทธิผลของการปรับโครงสร้างหนี้ โดยทำการเปรียบเทียบจำนวนบัญชีลูกหนี้ธุรกิจที่สามารถเลื่อนสถานะกลับมา “ดีขึ้น” กับการเลื่อนสถานะ “แย่ลง” ในรอบ 12 เดือนล่าสุด

พบว่า สัดส่วนจำนวนบัญชีที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว แต่สถานะกลับถดถอยลงนั้น มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น และเร็วกว่ากลุ่มที่ได้รับการเลื่อนสถานะดีขึ้นตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ซึ่งสะท้อนนัยเชิงลบต่อประสิทธิภาพของการปรับโครงสร้างหนี้ที่สามารถเล็งผลเลิศได้ลดลงเมื่อระยะเวลาผ่านไป

ประสิทธิผลของการปรับโครงสร้างหนี้ที่ลดลงดังกล่าว ถือเป็นประเด็นที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ยังมีโอกาสเติบโตในระดับต่ำกว่าศักยภาพที่ 1.6%

กอปรกับยังต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เพื่อขับเคลื่อนนโยบายแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ซึ่งรวมถึงปัญหาขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ ที่จะเป็นปัจจัยกำหนดเสถียรภาพด้านรายได้ของธุรกิจและความสามารถในการชำระหนี้ในระยะยาว

หากสถานการณ์แวดล้อมข้างต้นยังไม่เปลี่ยนแปลง สุดท้ายแล้ว นโยบายการปรับโครงสร้างหนี้ในการซื้อเวลาและยับยั้งการเพิ่มขึ้นของปัญหาหนี้เสียในภาคธุรกิจคงให้ประสิทธิผลที่ลดลง ซึ่งเท่ากับว่า วังวนในการแก้ปัญหาหนี้เสียจะยิ่งกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันแนวโน้มการฟื้นตัวของสินเชื่อ และอาจกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อผู้ให้บริการสินเชื่อมากขึ้นอีกในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีพัฒนาการที่ดีกว่า

โจทย์การแก้ไขปัญหาวังวนของหนี้เสียภาคธุรกิจที่ขยายวงกว้างขึ้นนี้ จึงเป็นหนึ่งโจทย์ท้าทายของสถาบันการเงิน รวมถึงหน่วยงานทางการอื่น ๆ ในปีหน้าอย่างยากจะหลีกเลี่ยง

อ่านฉบับเต็ม

 

Disclaimers

รายงานวิจัยนี้จัดทำโดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) เพื่อเผยแพร่เป็นการทั่วไป โดยอาศัยแหล่งข้อมูลสาธารณะ หรือ ข้อมูลที่เชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือที่ปรากฏขณะจัดทำ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ทั้งนี้ KResearch มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ ความเหมาะสม ความครบถ้วนสมบูรณ์ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลดังกล่าว และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ชวน เสนอแนะ ให้คำแนะนำ หรือจูงใจในการตัดสินใจเพื่อดำเนินการใดๆ แต่อย่างใด ดังนั้น ท่านควรศึกษาข้อมูลด้วยความระมัดระวังและใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจใดๆ KResearch จะไม่รับผิดในความเสียหายใดที่เกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว

ข้อมูลใดๆ ที่ปรากฎในรายงานวิจัยนี้ถือเป็นทรัพย์สินของ KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี) การนำข้อมูลดังกล่าว (ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน) ไปใช้ต้องแสดงข้อความถึงสิทธิความเป็นเจ้าของแก่ KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี) หรือแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นๆ ทั้งนี้ ท่านจะไม่ทำซ้ำ ปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไข ส่งต่อ เผยแพร่ หรือกระทำในลักษณะใดๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้า เป็นลายลักษณ์อักษรจาก KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี)