KEY
POINTS
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใต้การนำของ 'วิทัย รัตนากร' ผู้ว่าการ ธปท. เดินหน้าปฏิบัติการ “สกัดทุนเทา” ครั้งสำคัญ หลังปัญหาเงินผิดกฎหมาย ทั้งการพนันออนไลน์ การปั่นบัญชี การโอนเงินเข้าออกก้อนใหญ่ และธุรกรรมลับที่เกี่ยวข้องกับทองคำ ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ทั้งต่อประชาชน ระบบการเงิน และความผันผวนของค่าเงินบาท และความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินโดยรวม
รายงานพิเศษฉบับนี้สรุปภาพใหญ่ของแนวคิดเชิงนโยบาย มาตรการที่เตรียมออกใช้ และเหตุผลที่ทำให้ ธปท. ต้อง “ยื่นมือ ติดดิน” เข้ามารับบทเชิงรุก เพื่อปิดช่องโหว่ที่ใช้ระบบการเงินไทยเป็นทางผ่านของธุรกรรมผิดกฎหมายจำนวนมาก
ข้อเท็จจริงภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ธปท. ไม่สามารถมองเห็น “flow เงินบาท” ที่เกิดขึ้นในระบบได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินที่เกิน 500,000 บาท การฝากเงินสดที่สูงกว่า 2 ล้านบาท หรือธุรกรรมต้องสงสัยที่เป็นหัวใจสำคัญของการติดตามเงินผิดกฎหมาย ข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดถูกส่งตรงไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพียงหน่วยงานเดียว ทำให้ ธปท. ขาดข้อมูลสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบ ทั้งที่ธุรกรรมเหล่านี้มีผลต่อเสถียรภาพการเงินโดยตรง
ผู้ว่าฯ วิทัย ยอมรับว่า ปัญหานี้สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนจำนวนมาก ทั้งกรณีบัญชีม้า บัญชีที่ถูกใช้กระทำความผิด หรือธุรกรรมที่ทำให้ผู้ฝากเงินและผู้โอนเงินตกเป็นเป้าตรวจสอบโดยไม่รู้ตัว ธปท. จึงจำเป็นต้อง “ยื่นมือ ติดดิน” ด้วยการกลับไปใช้กฎหมายที่มีอยู่ ทั้งพระราชบัญญัติสถาบันการเงิน และพระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน เพื่อกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์รายงานธุรกรรมบางประเภทที่ผิดปกติต่อ ธปท. โดยตรง แนวทางใหม่นี้ไม่เพียงเป็นการเพิ่มการมองเห็นเส้นทางเงินเทา แต่ยังช่วยสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานอื่น โดยเฉพาะ ปปง. ในการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด
ขณะเดียวกัน ธปท. ยังเดินหน้าปรับเกณฑ์ด้านการรู้จักลูกค้าหรือ KYC/CDD ให้เข้มข้นมากขึ้น โดยครอบคลุมตั้งแต่ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ไปจนถึงผู้ให้บริการ e-Wallet ผู้ให้บริการโอนเงินรายย่อย และผู้ประกอบการแลกเปลี่ยนเงินตรา เพื่อคัดกรองและตรวจจับธุรกรรมผิดปกติให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะบัญชีที่ถูกใช้บนแพลตฟอร์มพนันออนไลน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักของทุนเทาที่กำลังเติบโตแบบไร้รอยต่อ
1. มิติ “เพิ่มการมองเห็น” เส้นทางเงินต้องสงสัย ด้วยการใช้กฎหมายที่มีอยู่กำกับให้สถาบันการเงินส่งข้อมูลธุรกรรมผิดปกติตามเกณฑ์ที่ ธปท. กำหนด เช่น เงินก้อนใหญ่เข้าแล้วออกทันที บัญชีที่ถูกใช้บนเว็บพนันออนไลน์ ธุรกรรมที่มีรูปแบบการโอนที่ไม่สอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจจริง
ข้อมูลเหล่านี้จะถูกใช้เพื่อ ปกป้องผู้บริโภค ป้องกันระบบการเงินกลายเป็นช่องทางทำทุจริต และส่งต่อให้ ปปง. ประกอบการดำเนินการตามกฎหมาย
2. มิติ “ยกระดับการกำกับและรู้จักลูกค้า (KYC/CDD)” ที่ครอบคลุมทั้ง ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ผู้ให้บริการ e-Wallet Money Transfer Agent และ Money Changer โดยจะมีการ กำหนด customer profiling ตรวจสอบระบบตรวจจับธุรกรรมต้องสงสัย บังคับใช้กฎเมื่อพบความเกี่ยวข้องกับการทำผิด ซึ่ง Money Changer จะถูกจัดระเบียบด้วยการเพิ่มมาตรฐานด้านการติดตามธุรกรรมผิดปกติและคุณภาพบริการลูกค้าเพิ่มเติม
อีกหนึ่งจุดเปราะบางที่แทบไม่เคยถูกพูดถึงคือ “ธุรกิจทองคำในประเทศไทย” ซึ่งผู้ว่าฯ วิทัยระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัจจุบันทองคำเป็นธุรกิจที่ “ไม่มีการกำกับดูแล” ทำให้ ธปท. ไม่เห็นข้อมูลการซื้อขายทองคำในประเทศเลย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายหน้าร้าน หรือผ่านแพลตฟอร์มและแอปเทรดทอง
ข้อมูลที่ ธปท. มีอยู่จำกัดเฉพาะธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) ที่เกิดขึ้นระหว่างร้านทองและธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ขณะที่ธุรกรรมทองคำจริงจำนวนมากเกิดขึ้นผ่านการซื้อขายกับตลาดต่างประเทศผ่านบริษัทในเครือ หรือแม้กระทั่งผ่านคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่ง ธปท. ไม่สามารถติดตามได้
ธุรกรรมทองคำยังมีผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงินบาท เนื่องจากร้านทองต้องบริหารความเสี่ยงด้วยการทำ “สแควร์โพสิชัน” ทั้งทองคำและเงินตราต่างประเทศ จึงมีความเคลื่อนไหว FX ในปริมาณสูง หากไม่มีข้อมูลเพียงพอ ธปท. ย่อมยากที่จะประเมินแรงกดดันต่อค่าเงินในช่วงเวลาสำคัญ ธปท. จึงอยู่ระหว่างการปรับประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อขยายอำนาจในการเข้าถึงข้อมูล และกำกับดูแลธุรกรรม FX ที่เชื่อมโยงกับทองคำให้ใกล้เคียงรูปแบบธุรกิจการเงินมากขึ้น
ในประเด็นค่าเงินบาท ผู้ว่าฯ วิทัยชี้ว่า ความผันผวนในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้เกิดจากการที่ ธปท. “ไม่ทำอะไร” แต่เป็นผลมาจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าราว 7% ประกอบกับการเร่งส่งออกในต้นปีของไทยเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ทำให้เกิดดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าโดยธรรมชาติ แม้ ธปท. ต้องการเห็นเงินบาทอ่อนค่าลงเพื่อสะท้อนเศรษฐกิจจริง แต่การแทรกแซงโดยตรงมีข้อจำกัดจากเกณฑ์ของสหรัฐฯ ที่ห้ามซื้อขาย FX เกิน 2% ของ GDP ภายใน 12 เดือน ทำให้การแทรกแซงทำได้เพียงเพื่อลดความผันผวน ไม่ใช่พลิกทิศค่าเงินเหมือนที่หลายฝ่ายคาดหวัง
ส่วนข้อเสนอให้ ธปท. ใช้เครื่องมือ QE ผู้ว่าฯ ชี้ชัดว่าไม่เหมาะกับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เพราะ QE มุ่งลดดอกเบี้ยระยะยาว ขณะที่ตลาดทุนไทยพึ่งพาระบบธนาคาร และหุ้นกู้ส่วนใหญ่มีอายุสั้น ไม่เกิน 10 ปี การอัดฉีดเงินผ่านการซื้อพันธบัตรจึงไม่เกิดผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ อีกทั้งหากความต้องการกู้ไม่เพิ่ม เงินที่อัดเข้ามาจะไหลกลับเข้าสู่ระบบรีเวิร์สรีโป (RP) ของ ธปท. ทันที กลายเป็นต้นทุนที่ไม่จำเป็นของระบบการเงิน
ด้านนโยบายการเงิน ผู้ว่าฯ ย้ำว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มองเห็นปัญหาเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำกว่าศักยภาพ จึงได้ลดดอกเบี้ยลงรวม 1% ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เพื่อให้จุดยืนนโยบายการเงินผ่อนคลายเพียงพอ แต่ยืนยันว่า สาเหตุหลักของการเติบโตต่ำไม่ได้มาจากดอกเบี้ย หากเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ขีดความสามารถในการแข่งขัน และความไม่แน่นอนด้านการลงทุน ซึ่งยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ตาม ธปท. ยังมี “ช่องว่าง” ที่จะลดดอกเบี้ยได้ หากพบว่าจำเป็นต่อการประคับประคองเศรษฐกิจ แต่ทั้งหมดต้องประเมินจากข้อมูลจริงและสภาวะเศรษฐกิจขณะนั้น ไม่ใช่การตอบสนองทางอารมณ์ของตลาดหรือความคาดหวังของนักการเมือง
ปฏิบัติการสกัดทุนเทาครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการกำกับธุรกรรมผิดกฎหมาย แต่คือการยกเครื่องระบบการเงินไทยให้โปร่งใสขึ้นในหลายมิติ ตั้งแต่นโยบายกำกับดูแลผู้ให้บริการการเงินยุคดิจิทัล การจัดระเบียบทองคำ ไปจนถึงการสร้างฐานข้อมูลเส้นทางเงินที่ทันสมัยและครอบคลุมมากกว่าเดิม ทุกขั้นตอนล้วนเป็นการปิดประตูให้ทุนเทา และลดความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบการเงินไทยในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม.