ตามที่ ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของ 5ธนาคารไทย(เมื่อ 29ก.ย.68) ประกอบด้วย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB)
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) (SCBT) และ ธนาคารยูโอบี (ไทย) จำกัด (มหาชน) (UOBT) โดยเมื่อ 24ก.ย.Fitch Ratingsได้ปรับลดมุมมอง (Outlook) ความน่าเชื่อถือไทยเป็น ‘เชิงลบ’ (Negative)จากเดิม “แนวโน้มมีเสถียรภาพ” แต่คงอันดับเครดิตเรตติ้งไว้ที่ BBB+
ต่อประเด็นดังกล่าว ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าส่วน งานกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศบริษัทหลักทรัพย์ฟินัลเซียร์ไซรัส จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า สัญญาณเตือนที่ไม่ดีต่อทั้งรัฐบาล และระบบการเงินโดยรวมว่าถ้าเรทติ้งทั้งสองฝั่งลง เสถียรภาพโดยรวมจะดูแย่ลง
แต่ในแง่ตัวกำไรยังไม่มีปัญหา เพราะตอนปี 2022 ดาวน์เกรดไป ต้นทุนก็ไม่ขยับ
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้(TISCO ESU )กล่าวว่าส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องปกติ โดยทั่วไปมุมมองความน่าเชื่อถือ และอันดับเครดิตของประเทศ กับของบริษัทที่ดำเนินกิจการในประเทศนั้นๆ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างชาติมักจะให้อันดับเครดิต และมุมมองที่เท่ากัน
"จึงมองว่าก็แทบจะไม่มีผลกระทบหรือมีผลกระทบน้อยมากกับระบบธนาคารเพราะแหล่งเงินทุนของธนาคารมีต้นทุนที่อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคาร หรือคือดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งกำหนดโดย bot ขณะที่ gov bond yield แม้อาจจะได้รับแรงกดดันจากข่าวนี้บ้าง แต่ไม่ใช่ต้นทุนหลัก และแหล่งระดมทุนของภาคธนาคาร"นายเมธัสกล่าว