นางสาวอารีรัตน์ มุราชัย หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD เปิดเผยว่า ทิศทางราคาทองคำมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวน จากแรงขับเคลื่อน 3 ปัจจัยหลัก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสถานการณ์ความไม่สงบด้านภูมิรัฐศาสตร์
โดยการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคมนั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อขยายเวลาข้อตกลงพักรบทางภาษีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วัน
ส่วนจีนก็ออกประกาศพักการเก็บภาษีเพิ่มเติม พร้อมเลื่อนการเพิ่มรายชื่อบริษัทสหรัฐฯ ที่ได้ระบุไว้ในเดือนเม.ย. เข้าสู่บัญชีจำกัดการค้าและการลงทุนออกไปอีก 90 วันเช่นกัน สถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นสัญญาณเชิงบวกและกดดันต่อราคาทองคำ ซึ่งตลาดน่าจะซึมซับข่าวดังกล่าวอีก 1 - 2 วัน หากไม่มีแรงกดดันเพิ่มเติม ทองคำน่าจะเริ่มเข้าสู่การฟื้นตัว
การประชุมระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ที่กำหนดขึ้นวันที่ 15 ส.ค. นี้ ที่รัฐอะแลสกา เพื่อพยายามในการยุติสงครามยูเครน ครั้งสำคัญที่ยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปีครึ่ง แม้มีรายงานว่าข้อตกลงหยุดยิงใกล้บรรลุ
แต่เงื่อนไขในการยกดินแดนบางส่วนของยูเครนเป็นข้อแลกเปลี่ยน ยังเป็นประเด็นขัดแย้งและก่อให้เกิดความไม่แน่นอนสูง หากการเจรจามีความคืบหน้าหรือประสบความสำเร็จ อาจลดแรงซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง แต่หากล้มเหลวตลาดอาจกลับมาเผชิญแรงซื้อจากความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์อีกครั้ง
ตัวเลขเงินเฟ้อรายเดือนที่ประกาศออกมาล่าสุดขยับตัวขึ้นเล็กน้อย ส่วนเงินเฟ้อเมื่อเทียบรายปีมีการปรับตัวลง จึงทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อลง และคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนและเดือนธันวาคม ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวเข้ามาช่วยพยุงราคาทองคำในระยะนี้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ทาง GCAP GOLD แนะนำ หาจังหวะซื้อเมื่อราคาทองคำย่อตัวลงมาที่ระดับ 3,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 3,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำไทยอาจอยู่ราว 51,500 - 51,200 บาท
หากการปรับตัวลงของราคาทองคำในรอบนี้ไม่หลุดแนวรับข้างต้น และสามารถปรับตัวขึ้น ยืนเหนือ 3,425 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ มีโอกาสสูงที่ราคาทองคำจะปรับตัวต่อเนื่องขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 3,450 - 3,480 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งราคาทองคำไทยอาจจะอยู่ราว 52,500 - 52,800 บาท