ราคาทองคำโลกช่วงครึ่งแรกปี 2568 ปรับตัวเพิ่ม 27% หรือ 707 ดอลลาร์จากระดับ 2,610 ดอลลาร์ต่อออนซ์มาปิดซื้อขายที่ 3,317 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองแท่ง 96.5% เพิ่มขึ้น 20% หรือราคาเพิ่มขึ้นบาทละ 8,650 บาทจาก 42,400 บาทต่อบาททองคำเป็น 51,050 บาทต่อบาททองคำ
แต่หากเทียบราคาทองคำโลกที่ทำราคาสูงสุดเพิ่มขึ้น 34% แตะระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่ออนซ์ และทองแท่ง 96.5% เพิ่มขึ้น 29% ทำราคาสูงสุดที่ 54,800 บาทต่อบาททองคำ
สำหรับทิศทางราคาทองคำครึ่งปีหลัง ตลาดยังมีมุมมองเชิงบวกจากอานิสงก์เงินบาท ที่มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลง จึงมีโอกาสเห็นราคาทองแท่ง 96.5% แตะที่ระดับ 57,000 บาทต่อบาททองคำ และตลาดยังโฟกัสที่แนวโน้มดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(เฟด)
หลังการประชุมล่าสุดประธานเฟด Jerome Powell แสดงจุดยืนว่า ยังคงไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ให้รอบด้าน
ส่งผลให้ตลาดปรับลดความคาดหวังจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด 2 ครั้งในปีนี้ 100% เหลือเพียง 39% เท่านั้น ส่งผลให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้นและได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงกว่า 1.4% สู่โซน 3,330-3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์ปีนี้มีการซื้อและขายทองคำเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะช่วงราคาปรับขึ้น แต่หลังจากเดือนเม.ย.ราคาทองย่อตัวลง ซึ่งนอกจากตลาดรอติดตามทิศทางดอกเบี้ยเฟดแล้ว ยังรอประเมินผลสรุปการเจรจาจากนโยบายการค้าของสหรัฐต่อประเทศทั่วโลกด้วย
ผลการเจรจาภาษีนำเข้าของสหรัฐจะส่งผลเชิงบวกหรือเชิงลบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างไร ซึ่งสงครามการค้ายังเป็นตัวแปรที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองครึ่งปีหลัง ราคาทองคำ Gold Spot มีโอกาสทำ New High ใหม่และสูงกว่า 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และทองแท่ง 96.5% น่าจะขยับทำNew High ใหม่ที่ระดับ 57,000 บาทต่อบาททองคำ โดยต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเงินบาทมีแนวโน้มจะอ่อนค่า ทำให้การซื้อทองแท่งได้ในราคาถูกลง
ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยทองคำกล่าวกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม Gold Spot ปรับตัวขึ้นมาสูงสุด 33.89% หรือ 34% ราคาสูงสุด 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากราคาต่ำสุดอยู่ที่ 2,614 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (เมื่อ 2 ม.ค.68) และราคาสูงสุดที่ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์น่าจะเป็นแนวต้านที่สำคัญ คาดว่าจะยืนอยู่ได้ถึงสิ้นปี
ยกเว้นสหรัฐฯ จะมีการทำนโยบายเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน (QE: Quantitative Easing) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจที่มาพร้อมกับการปรับลดดอกเบี้ยลงแรงๆ ซึ่งหากแนวโน้มเป็นตามนี้ มีโอกาสที่จะเห็นทองคำทำราคาสูงสุดใหม่เหนือ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนทองแท่ง 96.5% ในไทยยังต้องจับตาใกล้ชิด เพราะครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ผลตอบแทนในทองแท่งน่าสนใจ ส่วนตัวมองว่า ราคาทองแท่งที่ทำราคาสูงสุด 54,800 บาทน่าจะเพียงพอสำหรับปีนี้
ถ้าดูข้อมูลทางสถิติ ราคาทองทำราคาสูงถึง 40% เป็นช่วงที่สหรัฐทำ QE2 ครั้งคือ วิกฤติซัพไพร์มกับวิกฤติโควิดที่มีการล็อคดาวน์ ซึ่งณ วันนี้ถ้าดอกเบี้ยเฟดลดลงอยู่ที่ประมาณ 3.75% บวกลบ ก็ยังไม่เท่ากับช่วงวิกฤติซัพไพร์มหรือวิกฤติโควิด
"ดังนั้น Gold spot ที่ปรับขึ้น 34% น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับในปีนี้ ส่วนทองแท่งในประเทศ มองกรอบ 53,000 บาทน่าจะเพียงพอ ซึ่งปีนี้ราคาสูงสุดน่าจะอยู่ที่ 54,800 บาท”
ทั้งนี้ 3 ตัวแปรหลักที่มีผลต่อทิศทางราคาทองคำ ขณะนี้ตลาดให้น้ำหนักและจับตาเรื่องดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น ส่วนเรื่องสงครามการค้าเป็นปัจจัยที่เริ่มมีความคลี่คลาย เพราะเริ่มมีข้อตกลงในหลายประเทศก่อนกำหนด ทำให้โลกหันมาโฟกัสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีแนวโน้มจะนำไปสู่การปรับลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้งได้หรือไม่ และปัจจัยเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
แม้แต่ละประเทศพยายามเจรจาการค้าให้ได้ก่อน ทำให้ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์น่าจะเบาบางลง รวมถึงกรณีสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ประเทศไทยมีนโยบายชัดเจนที่ไม่ได้ต้องการทำสงคราม แต่จำเป็นต้องปกป้องอธิปไตยและมีการตอบโต้อย่างมีมนุษยธรรมในทุกการตอบโต้มีการจำกัดเป้าหมายไม่กระทบภาคประชาชนกัมพูชา
สำหรับความเชื่อมั่นราคาทองคำนั้น ช่วง 20 วันแรกของเดือนกรกฎาคม นักลงทุนยังมองบวก แนวโน้มราคาทองคำน่าจะปรับขึ้นได้ แต่หลังจากมีผลการเจรจาการค้าเกิดขึ้นในหลายประเทศ ส่งผลให้ราคาทองย่อตัวลง แต่ยังคงมีนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่
ถ้าการเจรจามีผลสรุปแล้ว สหรัฐฯ ได้ดุลการค้าจากทั่วโลก มีโอกาสจะเห็นเงินดอลลาร์แข็งค่าได้ตามภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯครึ่งปีหลัง และเงินบาทจะกลับทิศเป็นฝั่งอ่อนค่าในครึ่งปีหลังได้
ด้านสถานการณ์นำเข้าและส่งออกทองคำครึ่งแรกปีนี้พบว่า การนำเข้ารวม 173.45 ตัน เพิ่มขึ้น 80.24 ตันหรือ 86.09% ขณะที่การส่งออกรวม 68.55 ตันเพิ่มขึ้น 24.84 ตันหรือ 56.83% เทียบกับปีที่แล้วทั้งปี ที่มีปริมาณนำเข้าทองคำ 199.45 ตันและส่งออก 114.04 ตัน
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,119 วันที่ 3 - 6 สิงหาคม พ.ศ. 2568