ใช้เงินอย่างเข้าใจ ไม่ใช่แค่ประหยัด เคล็ดลับตามใจตัวเองโดยไม่เสียแผนการเงิน

02 ส.ค. 2568 | 00:30 น.

ในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้น แต่รายได้ไม่เพิ่มตาม และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ หลายคนรัดเข็มขัดตัดรายจ่ายอย่างเข้มงวด แต่การให้รางวัลตัวเองในระดับที่เหมาะสม อาจช่วยสร้างวินัยทางการเงินระยะยาวได้ดีกว่าการตัดทุกสิ่งที่ให้ความสุข

ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งไม่หยุด รายได้เท่าเดิม และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หลายคนต้องรัดเข็มขัด ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของขวัญให้ตัวเอง ชิลล์ที่คาเฟ่ หรือเดินตลาดนัดหลังเลิกงาน

แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่า ในช่วงเวลาที่เงินตึงขนาดนี้ เรายังควร “ตามใจตัวเอง” อยู่บ้างหรือไม่?  คำตอบคือ ควรให้รางวัลตัวเองเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง แต่สิ่งสำคัญ คือ การมีวินัยทางการเงิน

แนวคิด Mental Accounting ชี้ว่าคนเรามักแยกเงินเป็นหมวดทางจิตใจ ถ้าเราไม่ยอมแบ่งพื้นที่เล็กๆ ให้กับความสุขเลย เราอาจรู้สึกอึดอัดและสุดท้ายก็เผลอใช้เงินมากเกินไปโดยไม่ตั้งใจ จริงๆ แล้ว คุณภาพของการใช้เงินสำคัญกว่าปริมาณ และการมีเงินที่ใช้แล้วไม่ต้องรู้สึกผิด ก็ช่วยให้ชีวิตมีความสุขโดยไม่ละเลยการออมและการลงทุน

“ยิ่งตัด ยิ่งเผลอ”

ฟังดูขัดแย้งกับการออมเงินใช่ไหม? แต่ในทางจิตวิทยาพฤติกรรมกลับบอกว่า “การให้รางวัลตัวเองในระดับที่เหมาะสม อาจช่วยสร้างวินัยทางการเงินได้ดีกว่าการหักดิบ ตัดทุกสิ่งที่ให้ความสุขออกไป”

ลองนึกถึงแนวคิด Mental Accounting ที่บอกว่า คนเรามักจะแบ่งเงินออกเป็น “หมวดทางจิตใจ” เช่น เงินใช้จ่ายประจำวัน เงินสำหรับความสุข และเงินออม ถ้าไม่จัดสรรพื้นที่เล็กๆ น้อยๆ ไว้สำหรับความสุขเล็กๆ เหล่านี้ อาจจะเกิดแรงต้านภายใน และสุดท้ายก็เผลอใช้เงินมากเกินไปแบบ Binge spending หรือการใช้จ่ายแบบยั้งคิดไม่ได้ในที่สุด

ใช้เงินอย่างเข้าใจ ไม่ใช่แค่ประหยัด เคล็ดลับตามใจตัวเองโดยไม่เสียแผนการเงิน

ตัวอย่างแนวคิดของ Mental Accounting
คุณอาจรู้สึกว่าจ่ายเงิน 70 บาทซื้อข้าวไข่เจียว “แพงเกินไป” แต่กลับไม่ลังเลที่จะจ่ายจำนวนเท่ากันเพื่อซื้อชาไข่มุก หรือการใช้เงินโบนัสหรือเงินที่ได้จากการถูกลอตเตอรี่ได้ง่ายกว่าเงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรง และในการลงทุน คนส่วนใหญ่มักเลือกขายหุ้นที่ได้กำไรก่อน เพื่อให้รับรู้กำไรที่เป็นรูปธรรม 

ประเด็นสำคัญคือ ผู้คนมักตัดสินใจเรื่องการเงินแบบไม่สมเหตุสมผล การเข้าใจเรื่อง Mental Accounting จะช่วยให้เราตระหนักถึงพฤติกรรมทางการเงินของตนเอง และสามารถปรับปรุงการตัดสินใจทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 
 

ใช้เงินอย่างมีคุณภาพ

หนังสือ Happy Money: The Science of Happier Spending อธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่า “คุณภาพของการใช้เงิน มีผลต่อระดับความสุขของเรามากกว่าปริมาณเงินที่ใช้” การซื้อกาแฟแก้วโปรด หรือดอกไม้เล็กๆ มาประดับโต๊ะทำงาน อาจฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อย

แต่สิ่งเหล่านี้สามารถเติมพลังใจ และทำให้เรารู้สึกว่ายังควบคุมชีวิตตัวเองได้ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาทางการเงินอยู่ก็ตาม แนวคิดนี้เรียกว่า Buy Treats หรือ "ซื้อของที่มีความหมายแม้จะเล็กน้อย" โดยเน้นย้ำว่าการให้รางวัลตัวเองไม่ควรทำจนเป็นนิสัย แต่ควรทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องพิเศษจริงๆ

ประเด็นสำคัญคือ การใช้เงินเพื่อซื้อความรู้สึกที่เป็นบวกหรือประสบการณ์พิเศษ จะช่วยให้เรารู้สึกควบคุมชีวิตมากขึ้น และเพิ่มความพึงพอใจในชีวิต มากกว่าการใช้เงินจำนวนมากไปกับสิ่งของราคาแพงที่ไร้ความหมาย

ทั้งนี้ การให้รางวัลตัวเองบ่อยเกินไปจะลดทอนความรู้สึกพิเศษ เพราะความคุ้นเคยทำให้ความสุขจากรางวัลเหล่านั้นลดลง ความถี่ในการให้รางวัลจึงควรพอประมาณ เพื่อให้สิ่งเล็กๆ เหล่านั้นยังคงมีความหมายและสร้างความสุขได้ทุกครั้ง

สร้างสมดุลให้ชีวิต-การเงิน

นักวางแผนการเงินชื่อดัง สนับสนุนแนวคิดนี้ผ่านแนวทาง Conscious Spending Plan แนวทางนี้แตกต่างจากการทำงบประมาณแบบดั้งเดิมที่เน้นข้อห้าม แต่จะเน้นการตัดค่าใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่สำคัญออกไปอย่างจริงจัง เพื่อให้คุณสามารถจ่ายเงินกับสิ่งที่รักได้เต็มที่โดยไม่รู้สึกผิด

หนึ่งในหมวดหมู่ที่สำคัญคือ Guilt-Free Spending หรือเงินที่ใช้แล้วไม่ต้องรู้สึกผิด โดยเขาเสนอให้กันรายได้บางส่วน (ประมาณ 20 - 30%) ไว้สำหรับสิ่งที่เรารัก เพื่อให้ชีวิตยังคงมีความสุข โดยไม่ละเลยการออมและการลงทุน นี่คือการสร้างสมดุลที่ลงตัวระหว่างความสุขในปัจจุบันและความมั่นคงในอนาคต

โครงสร้างของแนวทาง Conscious Spending Plan
แบ่งการใช้จ่ายออกเป็น 4 ส่วนหลัก 

  • ค่าใช้จ่ายประจำ ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทุกเดือน เช่น ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ อินเทอร์เน็ต หรือผ่อนรถ ควรอยู่ที่ประมาณ 50 – 60% ของรายได้ต่อเดือน
  • การลงทุน เงินที่นำไปลงทุนหรือสะสมความมั่งคั่ง เช่น กองทุนรวม หุ้น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประมาณ 10% ของรายได้ต่อเดือน
  • เงินออม เงินออมเพื่อเป้าหมายระยะสั้นและฉุกเฉิน เช่น กองทุนสำรองฉุกเฉิน ท่องเที่ยวหรือของขวัญ ประมาณ 5 – 10% ของรายได้ต่อเดือน
  • ใช้จ่ายได้โดยไม่รู้สึกผิด เงินที่กันไว้ใช้กับสิ่งที่รัก เช่น ร้านอาหาร กาแฟ ท่องเที่ยว งานอดิเรก อยู่ที่ประมาณ 20 – 30% ของรายได้ต่อเดือน

หากอยากควบคุมการตามใจตัวเองให้อยู่ในขอบเขต เทคนิคหนึ่งที่น่าสนใจคือ “Treat Yourself Tax” เช่น ถ้าซื้อของราคา 600 บาท ก็ให้โอนอีก 600 บาทเข้าสู่บัญชีออมทันที วิธีนี้จะช่วยให้ได้ของและได้เก็บเงินไปพร้อมกัน

โดยการให้รางวัลตัวเองควรสอดคล้องกับบริบทส่วนตัว เช่น ถ้าคุณมีภาระหนี้หรือไม่มีเงินสำรอง ควรเลือกกิจกรรมที่ให้ความสุขแต่ไม่ต้องใช้เงินมาก เช่น การออกกำลังกาย เดินเล่น ฟังเพลง หรือใช้เวลากับครอบครัว

การตามใจตัวเองไม่ใช่ความฟุ่มเฟือยเสมอไป หากอยู่ภายใต้การวางแผนที่ดีและมีสติ การใช้เงินอย่างเข้าใจตัวเอง คือ การสร้างสมดุลระหว่างความสุขในวันนี้และความมั่นคงในวันข้างหน้า เพราะการจัดการเงินที่ดี ไม่ได้หมายความว่าต้องห้ามใช้เงินเลย แต่คือการใช้เงินให้ตรงจุด รู้คุณค่า มีเป้าหมายการเงินระยะยาว สร้างความสุขที่ยั่งยืนให้ชีวิต

อย่างไรก็ตาม ในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้น รายได้ไม่เพิ่มตาม และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ หลายคนเลือกที่จะรัดเข็มขัดตัดรายจ่ายอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะรายจ่ายที่ไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีจากจิตวิทยาพฤติกรรม ชี้ว่าการให้รางวัลตัวเองในระดับที่เหมาะสม อาจช่วยสร้างวินัยทางการเงินระยะยาวได้ดีกว่าการตัดทุกสิ่งที่ให้ความสุข

 

แหล่งที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย