นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยภายในการบรรยายในโครงการพัฒนาศักยภาพ ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง ประจำปี 2568 “รู้ทันโลกการเงิน ทลายหนี้สู่ความยั่งยืน“ ถึงการเจรจาภาษีสหรัฐฯ โดยยอมรับว่า มีความกังวล เพราะเหลือเวลาประมาณ 6 วัน จะถึงกำหนดในวันที่ 1 ส.ค. นี้
ทั้งนี้ หากไทยโดนเก็บอัตราภาษีที่ 36% จะส่งผลกระทบหนักโดยเฉพาะภาคการส่งออกซึ่งไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 60% ไทยจะไม่มีรายได้ในอนาคตและจะส่งผลกระทบระยะยาว อีกทั้งคู่แข่งในภูมิภาค อาทิ อินโดนิเซีย เวียดนาม ญี่ปุ่น สามารถปิดดีลอัตราภาษีที่ 15-20% จะส่งผลทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า
"บริษัทหลายแห่งที่กำลังมองหาประเทศที่ลงทุน ซึ่งมีเวียดนาม อินโดนิเซีย ไทย หากไทยโดนภาษี สหรัฐที่ 36% นักลงทุนคงไม่มองประเทศไทยเพราะมีภาษีที่แตกต่างกว่า 16% "
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% เชื่อว่า เอกชนสามารถยอมรับได้ แม้จะสูงกว่าประเทศอื่น ๆ 5% แต่ก็สามารถปรับตัวได้ และแม้ว่า จะมีผลกระทบบางส่วนต่อภาคเกษตร แต่ก็สามารถนำรายได้จากภาคส่งออกมา ช่วยเยียวยาในภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบได้ ที่สำคัญภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบคิดว่าเงินเยียวยาหลัก 2-3 แสนล้านบาท น่าจะอยู่ในวิสัยที่บริหารจัดการได้
ซึ่งในกรณีหากเจรจาไม่สำเร็จและยืดเยื้อ ก็จะทำให้ต้องมีการเยียวยาหลายภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบไปในระยะเวลาที่นานขึ้น ดังนั้น ไทยต้องพยายามเจรจาให้สำเร็จให้ได้
เมื่อถามว่า ในมุมของตลาดหุ้นช่วงสัปดาห์หน้าก่อนที่จะมีการประกาศตัวเลขภาษีซึ่งน่าจะทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนมากพอสมควร นายกอบศักดิ์ มองว่า ตลาดหุ้นยังมีความหวัง โดยเฉพาะช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ตลาดหุ้นดีดขึ้นมาเนื่องจากเห็นว่าญี่ปุ่นสามารถเจรจาได้ และขณะเดียวกัน ไทยกำลังทำข้อตกลงในการเจรจาใหม่ๆ
"ผมคิดว่า ตลาดมีความหวังเยอะ เพียงแต่ว่ามันจะเริ่มคับขันขึ้นเรื่อยเรื่อย เพราะถ้าเกิดว่าสหรัฐฯ ยังไม่ประกาศมา ตลาดเองก็จะเริ่มกังวลใจ ก็เดี๋ยวต้องรอดู และ ทั้งหมดก็หวังว่าเราจะได้คำตอบก่อนวันที่ 1 ส.ค.นี้"
อย่างไรก็ดี ไทยยังมีข่าวดี โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ครึ่งปีแรก มีตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุน มูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท ถือว่าเป็นตัวเลขสูงที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งการตัดสินใจลงทุนตอนนี้ขึ้นอยู่กับภาษีสหรัฐฯ หากไทยได้ภาษีไม่ต่างจากประเทศในภูมิภาคมาก ก็เชื่อว่า นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนที่ไทย แต่หากตัวเลขแตกต่างกับประเทศคู่แข่งอย่างเช่น เวียดนาม ก็อาจจะทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนที่ประเทศอื่นแทน