เปิด 5 กลุ่มอาหาร กระทบการส่งออกของไทย จากอัตราภาษีสหรัฐฯ

25 ก.ค. 2568 | 05:47 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.ค. 2568 | 06:04 น.

สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป เผย 5 กลุ่มสินค้า สร้างแรงกดดันเชิงโครงสร้างต่ออุตสาหกรรมอาหารไทย แนะสร้างระบบสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกด้านตลาดส่งออก

ดร.องอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กล่าวว่า มาตรการภาษีตอบโต้ (US Tariff) ในอัตรา 36% ที่สหรัฐฯ เตรียมบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการส่งออกของไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากกว่า 1.6 แสนล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 10% ของมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งหมดของประเทศ

ซึ่งมี 5 กลุ่มสินค้า ที่สร้างแรงกดดันเชิงโครงสร้างต่ออุตสาหกรรมอาหารไทย และกำลังเปลี่ยนแปลงบริบทการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปไทยในระดับนโยบาย

5 กลุ่มสินค้าที่อยู่ภายใต้แรงกดดันภาษี ได้แก่

  • ทูน่ากระป๋อง
  • ผักผลไม้แปรรูป (เช่น น้ำมะพร้าว กะทิ)
  • เครื่องปรุงรส (เช่น ซอสพริกศรีราชา)
  • สับปะรดกระป๋อง
  • ข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋อง

“โดยต้นทุนการค้าของผู้นำเข้าสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นทันที และนั่นหมายถึงแรงจูงใจใหม่ให้ผู้นำเข้าเหล่านั้นหันไปมองประเทศที่มีภาระภาษีต่ำกว่า ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก” 

ดร.องอาจ กล่าวว่า แนวทางปรับตัวคือ การกระจายตลาดส่งออก เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดียว,ใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ เพื่อบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ,ตอกย้ำคุณภาพและความเชื่อถือของสินค้าไทย และส่งเสริมความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน เช่น ค่าบรรจุภัณฑ์และขนส่ง

ทั้งนี้ ภาคเอกชนยังเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท การส่งเสริมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับ SME การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการสร้างระบบสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกด้านตลาดส่งออก

“เราอาจควบคุมกติกาของประเทศคู่ค้าไม่ได้ แต่เราควบคุมการเติบโตของตนเองได้ สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่แค่การเอาตัวรอดจากมาตรการภาษี แต่คือโอกาสสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทย ให้มีบทบาทเชิงรุกบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน”