ดร.องอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กล่าวว่า มาตรการภาษีตอบโต้ (US Tariff) ในอัตรา 36% ที่สหรัฐฯ เตรียมบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการส่งออกของไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากกว่า 1.6 แสนล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 10% ของมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งหมดของประเทศ
ซึ่งมี 5 กลุ่มสินค้า ที่สร้างแรงกดดันเชิงโครงสร้างต่ออุตสาหกรรมอาหารไทย และกำลังเปลี่ยนแปลงบริบทการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปไทยในระดับนโยบาย
5 กลุ่มสินค้าที่อยู่ภายใต้แรงกดดันภาษี ได้แก่
“โดยต้นทุนการค้าของผู้นำเข้าสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นทันที และนั่นหมายถึงแรงจูงใจใหม่ให้ผู้นำเข้าเหล่านั้นหันไปมองประเทศที่มีภาระภาษีต่ำกว่า ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก”
ดร.องอาจ กล่าวว่า แนวทางปรับตัวคือ การกระจายตลาดส่งออก เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดียว,ใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ เพื่อบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ,ตอกย้ำคุณภาพและความเชื่อถือของสินค้าไทย และส่งเสริมความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน เช่น ค่าบรรจุภัณฑ์และขนส่ง
ทั้งนี้ ภาคเอกชนยังเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท การส่งเสริมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับ SME การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการสร้างระบบสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกด้านตลาดส่งออก
“เราอาจควบคุมกติกาของประเทศคู่ค้าไม่ได้ แต่เราควบคุมการเติบโตของตนเองได้ สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่แค่การเอาตัวรอดจากมาตรการภาษี แต่คือโอกาสสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทย ให้มีบทบาทเชิงรุกบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน”