ผ่านเส้นตาย 90 วันในการขยายเวลาบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประเทศไทยเจอเรื่องระทึกเมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” โพสต์ จดหมายถึงไทย ยืนยันเก็บภาษี 36% มีผล 1 สิงหาคมนี้ ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศในอาเซียนอย่าง เวียดนาม 20% มาเลเซีย 25% อินโดนีเซีย 32%
ถือเป็นปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง จากเดิมที่เคยคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจที่ 1.8% ภายใต้อัตราภาษีที่ลดลงมาครึ่งหนึ่งคือ 18% แต่หากเจอที่อัตรา 36% มีความสี่ยงสูงที่มีอัตราการเติบโตติดลบ
ไทยยังมีความเสี่ยงเพิ่มอีกจากการออกมาขู่ของ"โดนัลด์ ทรัมป์"ว่า ประเทศใดที่สนับสนุนนโยบายต่อต้านอเมริกาของกลุ่ม BRICS จะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% โดยไม่มีข้อยกเว้น ในจังหวะที่ไทยกำลังเข้าร่วมประชุม BRICS ที่บราซิลพอดี
นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การเก็บภาษี 36% ต่อสินค้าจากไทยไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่คือคำเตือนเชิงยุทธศาสตร์ ว่า ไทยยังไม่มีจุดยืนที่สำคัญพอในสายตาสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ในระยะถัดไป ไทยอาจเปลี่ยนบทบาทไปเป็นผู้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อให้บริษัทอเมริกันมีแรงจูงใจในการช่วยเจรจาได้ แต่ก็ไม่ง่าย ดีที่สุดคือการแก้ที่ต้นทาง ต้องเร่งหา พันธมิตรใหม่ในการส่งออก ไปยังตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบ เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง และอาเซียน
จุดเปลี่ยนครั้งนี้ชี้ว่า ประเทศที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบริบทได้เอง จะกลายเป็นโอกาสการลงทุนระยะยาว
อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศภาษีตอบโต้ของโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อเมษายนที่ผ่านมา มีเพียง 3 ประเทศเท่านั้นที่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาได้คือ สหราชอาณาจักร จีน และ เวียดนาม
สหราชอาณาจักร เป็นประเทศแรกที่บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่่ผ่านมาแล้ว
นอกจากนั้น สหราชอาณาจักรยังเพิ่มโควต้าการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ บางชนิดโดยปลอดภาษีเช่นกัน เช่น เนื้อวัว และเอทานอล แต่ยังมีอีกหลายรายการที่ทั้งสองประเทศยังไม่บรรลุข้อตกลงทางภาษีร่วมกันเช่นเหล็กและอลูมิเนียม, ยาและเวชภัณฑ์
จีน ที่เป็นคู่กรณีหลักกับสหรัฐฯ ทำให้กว่าทั้งสองประเทศจะสามารถตกลงกันได้ก็ตอบโต้กับไปมาอย่างดุเดือดด้วยการประกาศขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมาจนสูงลิ่วตั้งแต่เดือนเมษายน โดยสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนสูงถึง 145% ขณะที่จีนก็เก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 125% แต่ทั้งสองประเทศก็สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม
ทั้งสองประเทศตกลงที่จะลดอัตราภาษีลง 115% โดยที่ยังคงอัตราการเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% เอาไว้ ทำให้อัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากจีนลดลงมาเหลือ 30% ขณะที่อัตราภาษีที่จีนเรียกเก็บจากสหรัฐฯ ลดลงมาเหลือ 10%
อย่างไรก็ตามผู้นำทั้งสองได้หารือกันอีกครั้งก่อน ก่อนที่จะได้ข้อตกลงว่า
เวียดนาม เป็นประเทศสุดท้ายก่อนเส้นตาย
ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ระบุว่า ผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์ของสหรัฐ ส่งผลจีดีพีต่อจากนี้ขยายตัวต่ำกว่า 2% ไปอีกอย่างน้อยปีครึ่ง โดยเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังโตชะลอเหลือเพียง 1.6% จากที่ครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดี
วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,112 วันที่ 10 - 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2568