โอกาสรอดเศรษฐกิจไทย เร่งหาพันธมิตรใหม่ รับมือภาษีทรัมป์

09 ก.ค. 2568 | 11:01 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ก.ค. 2568 | 11:01 น.

หลังเส้นตาย 90 วัน ภาษีทรัมป์ ไทยยังต่อลมหายใจได้อีก 30 วัน หลังทรัมป์ประกาศคงอัตราภาษี 36% ต่อสินค้าจากไทย เริ่ม 1 ส.ค. ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้น ไทยต้องเร่งหาพันธมิตรใหม่ในการส่งออก ไปยังตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบ

ผ่านเส้นตาย 90 วันในการขยายเวลาบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประเทศไทยเจอเรื่องระทึกเมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” โพสต์ จดหมายถึงไทย ยืนยันเก็บภาษี 36% มีผล 1 สิงหาคมนี้ ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศในอาเซียนอย่าง เวียดนาม 20% มาเลเซีย 25% อินโดนีเซีย 32% 

ถือเป็นปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง จากเดิมที่เคยคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจที่ 1.8% ภายใต้อัตราภาษีที่ลดลงมาครึ่งหนึ่งคือ 18% แต่หากเจอที่อัตรา 36%  มีความสี่ยงสูงที่มีอัตราการเติบโตติดลบ

ไทยยังมีความเสี่ยงเพิ่มอีกจากการออกมาขู่ของ"โดนัลด์ ทรัมป์"ว่า ประเทศใดที่สนับสนุนนโยบายต่อต้านอเมริกาของกลุ่ม BRICS จะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% โดยไม่มีข้อยกเว้น ในจังหวะที่ไทยกำลังเข้าร่วมประชุม BRICS ที่บราซิลพอดี 

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การเก็บภาษี 36% ต่อสินค้าจากไทยไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่คือคำเตือนเชิงยุทธศาสตร์ ว่า ไทยยังไม่มีจุดยืนที่สำคัญพอในสายตาสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง  

ในระยะถัดไป ไทยอาจเปลี่ยนบทบาทไปเป็นผู้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อให้บริษัทอเมริกันมีแรงจูงใจในการช่วยเจรจาได้ แต่ก็ไม่ง่าย ดีที่สุดคือการแก้ที่ต้นทาง ต้องเร่งหา พันธมิตรใหม่ในการส่งออก ไปยังตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบ เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง และอาเซียน

จุดเปลี่ยนครั้งนี้ชี้ว่า ประเทศที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบริบทได้เอง จะกลายเป็นโอกาสการลงทุนระยะยาว

อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศภาษีตอบโต้ของโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อเมษายนที่ผ่านมา มีเพียง 3 ประเทศเท่านั้นที่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาได้คือ สหราชอาณาจักร จีน และ เวียดนาม 

โอกาสรอดเศรษฐกิจไทย เร่งหาพันธมิตรใหม่ รับมือภาษีทรัมป์

สหราชอาณาจักร เป็นประเทศแรกที่บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่่ผ่านมาแล้ว

  • สหรัฐฯ จะลดอัตราภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่นำเข้าจากสหราชอาณาจักร จากที่ประกาศไว้ว่า จะเก็บภาษี 25% เหลือเพียง 10% แต่จำกัดเพียง 100,000 คันเท่านั้น โดยรถยนต์ที่ส่งออกเกินโควต้าจะต้องเสียภาษีในอัตรา 27.5% และยังยกเลิกภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการบินและอวกาศบางชนิดด้วย 
  • สหราชอาณาจักร ยังคงอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้าของสหรัฐฯหลายรายการไว้ตามเดิมเช่น เรียกเก็บภาษี 10% กับรถยนต์ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ, การเก็บภาษี 2% สำหรับบริการทางดิจิทัลที่มีรายได้ทั่วโลกเกิน 500 ล้านปอนด์ หรือราว 2.2 หมื่นล้านบาท และรับรายได้จากผู้ใช้งานชาวสหราชอาณาจักรเกิน 25 ล้านปอนด์ หรือราว 1.1 พันล้านบาทต่อปี 

นอกจากนั้น สหราชอาณาจักรยังเพิ่มโควต้าการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ บางชนิดโดยปลอดภาษีเช่นกัน เช่น เนื้อวัว และเอทานอล แต่ยังมีอีกหลายรายการที่ทั้งสองประเทศยังไม่บรรลุข้อตกลงทางภาษีร่วมกันเช่นเหล็กและอลูมิเนียม, ยาและเวชภัณฑ์ 

จีน ที่เป็นคู่กรณีหลักกับสหรัฐฯ ทำให้กว่าทั้งสองประเทศจะสามารถตกลงกันได้ก็ตอบโต้กับไปมาอย่างดุเดือดด้วยการประกาศขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมาจนสูงลิ่วตั้งแต่เดือนเมษายน โดยสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนสูงถึง 145% ขณะที่จีนก็เก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 125% แต่ทั้งสองประเทศก็สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม  

ทั้งสองประเทศตกลงที่จะลดอัตราภาษีลง 115% โดยที่ยังคงอัตราการเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% เอาไว้ ทำให้อัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากจีนลดลงมาเหลือ 30% ขณะที่อัตราภาษีที่จีนเรียกเก็บจากสหรัฐฯ ลดลงมาเหลือ 10% 

อย่างไรก็ตามผู้นำทั้งสองได้หารือกันอีกครั้งก่อน ก่อนที่จะได้ข้อตกลงว่า

  • จีน ตกลงจะส่งแม่เหล็กแรงสูงและแร่หายากที่จำเป็นให้กับสหรัฐฯ ขณะที่สหรัฐฯ จะอนุญาตให้นักศึกษาจีนเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว
  • สหรัฐฯ จะได้รับภาษีศุลกากรในอัตรา 55% ขณะที่จีนจะได้รับอัตราภาษี 10%

เวียดนาม เป็นประเทศสุดท้ายก่อนเส้นตาย

  • สหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าจากเวียดนามในอัตรา 20% สำหรับสินค้าทุกชนิดที่ส่งออกเข้าไปยังสหรัฐฯ และ 40% สำหรับการถ่ายลำ เพื่อเลี่ยงสินค้าสวมสิทธิ์จากประเทศอื่น ซึ่งถือว่า ลดลงจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญจากที่เคยประกาศไว้ 46%
  • เวียดนาม ตกลงจะเปิดตลาดให้กับสหรัฐฯ โดยสมบูรณ์ ซึ่งหมายความว่าสหรัฐฯ จะสามารถส่งออกสินค้าต่าง ๆ ไปยังเวียดนามได้ โดยไม่ต้องเสียภาษีใดๆ

ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ระบุว่า ผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์ของสหรัฐ ส่งผลจีดีพีต่อจากนี้ขยายตัวต่ำกว่า 2% ไปอีกอย่างน้อยปีครึ่ง โดยเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังโตชะลอเหลือเพียง 1.6% จากที่ครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดี  

 

วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,112 วันที่ 10 - 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2568