จากผลงานวิจัยศึกษาการใช้เงินคริปโตเคอร์เรนซี (cryptocurrency) เพื่อสนับสนุนองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงรูปแบบ "Pig Butchering" (หลอกลวงผ่านความสัมพันธ์ออนไลน์) และการค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการวิเคราะห์ธุรกรรมคริปโตจากเหยื่อที่ตกเป็นเป้า
โดย Bitkub ถูกกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งใน exchange ที่มีเงินไหลเข้าสู่บัญชีของผู้ต้องสงสัย (scammer deposit addresses) จำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกรรมขนาดใหญ่ (มากกว่า \$100,000) ซึ่งหมายถึง Bitkub อาจมีมาตรการ KYC ที่ไม่เข้มงวดเท่ากับ exchange ในประเทศตะวันตก เช่น Coinbase หรือ Crypto.com และอาจอยู่นอกเขตอำนาจศาลของสหรัฐฯ
ส่งผลให้เกิดความกังวลใจว่า การตรวจสอบธุรกรรมและการระบุตัวตนผู้ใช้ของ exchange ในเอเชียยังไม่เข้มงวดเพียงพอหรือไม่ ทำให้องค์กรอาชญากรรมสามารถย้ายเงินได้ง่ายเกิดไป จำเป็นต้องมีการเพิ่มมาตรการป้องกันและติดตามธุรกรรมคริปโตอย่างเข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันการนำคริปโตไปใช้สนับสนุนอาชญากรรม
นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าจากการสอบถามเรื่องการมาตรการตรวจสอบการฟอกเงิน ผ่าน exchange ไทยนั้น ก.ล.ต. มีการกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องทำความรู้จักกับลูกค้า (KYC) เพื่อระบุตัวตนที่แท้จริงของลูกค้าหรือผู้รับประโยชน์ที่แท้จริง
รวมทั้งจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่ง ก.ล.ต. ได้เข้าไปตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลตามกระบวนการให้มีการดำเนินการเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว และหลักเกณฑ์ในเรื่องมาตรการจัดการบัญชีม้า
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ก็ให้ความร่วมมือกับตำรวจในการให้ข้อมูลกรณีที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล รวมทั้งได้ร่วมประชุมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งประกอบด้วย
เพื่อติดตามและกำหนดแนวทางในการดำเนินงานให้ผู้ประกอบธุรกิจมีมาตรฐาน ในการจัดการด้านการฟอกเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้กำกับดูแลของ ก.ล.ต. (เช่น ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล) เป็น สถาบันการเงิน ตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ก.ล.ต. จึงกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจฯ มีหน้าที่ทำ KYC และโดยที่ธุรกรรมการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง
"ดังนั้น การทำ KYC เพื่อรับลูกค้าเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล จึงเข้มที่สุดตามมาตรฐานของ ปปง. ทั้งนี้ การทำ KYC ของลูกค้าและการตรวจสอบธุรกรรมที่ต้องสงสัยของลูกค้าเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยในการป้องกันไม่ให้กลุ่มมิจฉาชีพสามารถทำธุรกรรมซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางถ่ายเททรัพย์สินจากการกระทำความผิด"
ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้มีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับการป้องกันการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางในการฟอกเงิน โดย ก.ล.ต. ได้ร่วมกับ TDO เพื่อจัดทำมาตรการจัดการบัญชีม้า (industry standard) เช่น การคัดกรอง ระงับ และจำกัดการให้บริการแก่ลูกค้าที่เป็นบัญชีม้าตามรายชื่อที่ได้รับจากภาคธนาคาร
รวมถึงมาตรการจำกัดวงเงินการถอนทรัพย์สินและการหน่วงการถอนทรัพย์สินตามความเสี่ยงของลูกค้า ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว โดย ก.ล.ต. ได้มีการติดตามผลการดำเนินมาตรการการจัดการบัญชีม้าของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และมีการเข้าตรวจผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่องตามความเสี่ยงของผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลได้
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้ประสานงานกับ ปปง. เกี่ยวกับการแชร์รายชื่อม้าดำให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และประสานงานกับ TDO รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการเชื่อมต่อระบบ Central Fraud Registry (CFR) เพื่อให้เกิดการแชร์ข้อมูลบัญชีม้าระหว่างภาคธนาคารและผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
ตลอดจนอยู่ระหว่างจัดทำร่างประกาศในการกำหนดมาตรฐานการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อรองรับข้อกำหนดเกี่ยวกับการร่วมรับผิดชอบแก่ผู้เสียหาย (Shared Responsibility) ตาม พ.ร.ก. อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2)
สำหรับคำถามเรื่อง smart detection เข้ามามีส่วนช่วยมากน้อยแค่ไหนนั้น ก.ล.ต. จะนำข้อมูลที่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลนำส่งต่อ ก.ล.ต. มาใช้ในการวิเคราะห์ติดตามการทำธุรกรรมต่างๆ ของลูกค้าและผู้ประกอบธุรกิจ รวมถึงการปฏิบัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ด้าน KYC และการจัดการบัญชีม้าของผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งเครื่องมือ smart detection จะช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลและติดตามธุรกรรมดังกล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ทาง ก.ล.ต. ได้รายงานเกี่ยวกับปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเก็บรวบรวมและเปิดเผยข้อมูลต่อ ก.ล.ต. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามความเสี่ยงของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
และการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านเครื่องมือ smart detection เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและลักษณะธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป
โดยในช่วงเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องและผู้สนใจ เกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเก็บรวบรวมและเปิดเผยข้อมูลต่อ ก.ล.ต. รวมถึง ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงระบบการนำส่งข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
ปรับปรุงชุดข้อมูลและการเปิดเผยข้อมูลของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทและลักษณะธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามความเสี่ยงของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลและการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านเครื่องมือในการติดตาม (smart detection)
รวมถึงการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ตลอดจนความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในภาพรวม ซึ่งสอดคล้องกับการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเป็นหลัก (data-driven organization) ของ ก.ล.ต. โดยผู้แสดงความเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยกับหลักการดังกล่าว
ก.ล.ต. จึงออกประกาศ* เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
หมายเหตุ: