ในงานสัมนา "Thailand Investment Forum 2025: Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ" จัดโดย ฐานเศรษฐกิจ กรุงเทพธุรกิจ และโพสต์ทูเดย์ ในหัวข้อ Batte: ลงทุนโลกเก่า VS โลกใหม่ ใครรุ่ง ใครร่วง?
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันเราอยู่ในยุคการลงทุนโลกยุคปัจจุบันไม่ใช่ยุคเก่า แต่สินทรัพย์ที่มีอยู่ได้เพิ่มทางเลือกใหม่ขึ้นมาให้กับนักลงทุนตั้งแต่หลังปี 2551 ที่เริ่มมีสินทรัพย์ดิจิทัลเกิดขึ้น โดยสินทรัพย์ยุคเก่า ได้แก่ หุ้นพื้นฐาน, ตราสารหนี้ (Fixed Income), ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ที่ใช้สำหรับการลงทุน แต่คีย์หลักสินทรัพย์ในยุคปัจจุบันคือเรื่องกระแสเงินสดที่จับต้องได้ มีปันผล มีมูลค่าที่เราสามารถ evaluate ได้จริง
ขณะที่สินทรัพย์ยุคใหม่คือนวัตกรรมที่ต้องรู้มูลค่า รู้ว่า value คืออะไร และจุดไหนที่น่าลงทุน และต้องรู้จักจังหวะเวลาในการลงทุน ดูภาวะเศรษฐกิจโลกและความผันผวน โดยบริบทของปัจจุบันเศรษฐกิจโลกเติบโตช้าลง เนื่องจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้สินทรัพย์มีความเสี่ยงและผันผวนมากขึ้น ซึ่งอาจจะต้องพึ่งพานโยบายเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวกลับมา
ทั้งนี้ คาดว่าทั่วโลกจะเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลงทำให้เกิดความแตกต่างในบริบทการลงทุน เช่น สหรัฐฯจะลดดอกเบี้ยช้ากว่าประเทศอื่น เพราะกำแพงภาษีทำให้สินค้าในสหรัฐฯ แพงขึ้น เงินเฟ้อจะสูงขึ้น ส่วนฝั่งเอเชียและตลาดเกิดใหม่จะลดดอกเบี้ยเร็วกว่ามาก เนื่องจากพึ่งพาการค้าโลกและได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษี ทำให้เงินเฟ้อต่ำและต้องกระตุ้นเศรษฐกิจจากภายใน
ดังนั้น สินทรัพย์ที่น่าลงทุนในปัจจุบัน คือ ตราสารหนี้ (Fixed Income) ที่จะเป็นโอกาสในช่วงนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้ในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ที่จะให้ผลตอบแทนดี เป็นการปรับสมดุลการลงทุนใหม่ ซึ่งต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น (ลดดอกเบี้ย) ส่วนหุ้นยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนมากนักในตอนนี้ ซึ่งหุ้นกำลังฟอร์มตัวและจะต้องมี Catalyst เช่น เศรษฐกิจฟื้นตัว, นโยบายการเงินคลายตัวมากขึ้น และนโยบายการคลังต้องสามารถคาดหวังได้
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการหัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ต้องสนับสนุนให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปในทุกสินทรัพย์ ทั้งสินทรัพย์โลกเก่า เช่น หุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์โลกใหม่ อย่าง บิตคอยน์ เนื่องจากแต่ละสินทรัพย์มีวงจรของสินทรัพย์
“ญี่ปุ่น ทุกคนเคยบอกว่าตายไปจากโลกแล้ว ไม่น่าลงทุน เงินเยนจะเสื่อมค่า แต่หลังจากโควิด-19 ญี่ปุ่น กลับมานิวไฮ และจีน ทุกคนเคยบอกว่าจะล้ม แต่จีนก็ฟื้นขึ้นมาได้ ดังนั้นการกระจายทุกสินทรัพย์ เรียนรู้ทุกสินทรัพย์เป็นสิ่งที่ควรทำ”
สำหรับหุ้นไทยควรมีไว้ในพอร์ตในสัดส่วน 0-10% ท่ามกลางสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนจากปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเป็นการประเมินมูลค่า Market Cap ต่อ GDP ดังนั้นระดับกรอบ 1,080-1,100 จุด แนะนำเพิ่มสัดส่วนหุ้นไทยประมาณ 10% และมองไปข้างหน้า กรอบ 1,245-1,300 จุด ลดสัดส่วนหุ้นไทยลงมาเหลือ 0%
“SET Index ปัจจุบัน อาจจะไม่สามารถมาอยู่ใน Core Portfolio หรือพอร์หลัก ที่มีเป้าหมายสร้างมูลค่าเพิ่มจากการลงทุนในระยะยาวได้แล้ว แต่ SET Index ไปอยู่ใน Satellite Portfolio หรือพอร์ตเสริม ที่มีเป้าหมายทำกำไรในระยะกลาง-สั้น”
นายโฉลก สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้งชมรม CDC Chaloke.com กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ความแม่นยำในการทำนายดัชนีตลาดหุ้นไทย Money Management สำคัญกว่า Technical Analysis การตัดสินใจลงทุนทุกครั้งต้องมี Money Management เข้ามาควบคุม และควรแบ่งบัญชีการลงทุ ด้วยการแยกบัญชีการลงทุนเป็นระยะยาว กลาง และสั้น เพราะจุดจังหวะเข้า (Entry) และกับจังหวะออก (Exit) ไม่เหมือนกัน
นอกจากนี้ ดัชนีความกลัวและความโลภ (Fear & Greed Index) การควบคุมความโลภ (Greed) และความกลัว (Fear) ยังเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุนซึ่งสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ นอกจากนี้ ยังมีระบบการเทรดที่มีสัญญาณ Buy/Sell หรือ Trade Signal เป็นเครื่องมือที่สามารถทำกำไรได้โดยไม่ต้องขาดทุน
ทั้งนี้ ในยุคของการลงทุนที่ต้องมีการกระจายสินทรัพย์อย่างรอบคอบและบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีความผันผวนสูง ซึ่งสินทรัพย์แบบดั้งเดิมยังคงมีบทบาทใน Core Portfolio ในขณะที่สินทรัพย์ใหม่ๆ เช่น Bitcoin และทองคำกำลังก้าวขึ้นมาเป็น Store of Value ที่สำคัญในอนาคต
นายพิริชะ สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้ง Rght Shift และกรรมการผู้จัดการ บริษัท CDC ChalokeDotCom กล่าวว่า ในการลงทุนในโลกดิจิทัลใหม่ อย่าง Bitcoin แม้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นอาจใช้เทคโนโลยีคล้ายกันแต่สิ่งที่ต้องรู้คือการศึกษาเรื่องนี้ขั้นพื้นฐาน โดย Bitcoin มีลักษณะเป็น "commodity" ที่สามารถใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนได้และใช้เป็นแหล่งเก็บรักษา มูลค่าได้
"พูดง่ายๆ คือ Bitcoin มันเป็นเงิน และหากย้อนกลับไปเรื่องเงินก็ต้องรู้ว่าเงินคืออะไร เราจะเห็นว่าเงินคือสินค้าอะไรก็ได้ ที่คนพึงพอใจที่จะหยิบมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการเก็บออม (ส่งค่าไปในอนาคต), การใช้จ่าย (ส่งไปข้างๆ), และการวัดมูลค่าที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้จะใช้จ่ายง่ายและมีสภาพคล่องสูง แต่ตอนนี้กลับขาดคุณสมบัติสำคัญที่สุดคือ คุณสมบัติในการเก็บรักษา มูลค่าข้ามผ่านระยะเวลา"
ดังนั้น ความเหนือกว่าของ Bitcoin เมื่อเทียบกับทองคำและเงิน คือตอบโจทย์การใช้ในยุคดิจิทัลได้ ตอบโจทย์การใช้เงินในปัจจุบันที่แก้ปัญหาเงิน physical (ทองคำ) ที่ไม่สามารถใช้แลกเปลี่ยนในโลกออนไลน์ได้สะดวก สามารถใช้ที่ไหน ยังไง เมื่อ ไหร่ก็ได้ โดยไม่ต้องมีตัวกลาง ทำให้สามารถทำธุรกรรมโดยตรงกับผู้รับโดยไม่มีบุคคลที่สามสามารถห้ามหรือยับยั้งได้
อย่างไรก็ตาม ยังสนับสนุนให้ทุกคนศึกษาและตั้งคำถามว่าเงินคืออะไร Bitcoin คืออะไร เพราะปัจจุบันเรายังอยู่ในยุคของคนที่ไม่มีความเข้าใจจะไม่สามารถถือ Bitcoin ได้เมื่อเจอความผันผวน แต่ะถ้ายังไม่เข้าใจ Bitcoin อย่างน้อยก็ควรเก็บสินทรัพย์เป็นทองคำ และอย่าเลือกลงทุนในทุกสินทรัพย์