จัดเต็มกลยุทธ์ จัดพอร์ตลงทุนตราสารหนี้อย่างไรให้ผลตอบแทนเพิ่ม

11 พ.ค. 2568 | 00:30 น.

ในยุคดอกเบี้ยสูงไม่ใช่จุดจบของโอกาส แนะกระจายความเสี่ยงจัดพอร์ต ‘ตราสารหนี้–พันธบัตรรัฐบาล’ ทางเลือกปลอดภัย รับผลตอบแทนมั่นคงในปี 68

ปี 2568 นับเป็นปีที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ท่ามกลางสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือที่เรียกว่า Higher for Longer ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินทุน และโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ

รวมถึงตราสารหนี้ที่ได้รับผลจากสงครามการค้า ตลอดจนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกา ดังนั้น หากวางจัดพอร์ตการลงทุนตราสารหนี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ก็ย่อมสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีได้ด้วย

แนวโน้มดอกเบี้ยปี 68

จากสถานการณ์สงครามการค้าและการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายและเงินเฟ้อ โดยเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวว่า เฟดไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีความแข็งแกร่งและเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด

นอกจากนี้ ตลาดได้มีมุมมองว่าต่อคำกล่าวของประธานเฟดว่า นโยบายการเงินของเฟด ยังคงมีความไม่แน่นอน โดยทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายและเงินเฟ้อ ขึ้นอยู่กับนโยบาย 100 วันแรกของประธานาธิบดี โรนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใด

ในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ไม่ได้ปรับตัวลดลง แต่กลับทรงตัวและเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จึงคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในครึ่งแรกของปี 68 นี้ จะยังคงทรงตัว อย่างไรก็ดี หากสหรัฐฯ ใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีอย่างจริงจัง นักลงทุนจำเป็นต้องติดตามว่าจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ และการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอย่างใกล้ชิด

สำหรับมุมมองของเฟดอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 68 นี้ ลงสูงสุด 0.5% จำนวน 2 ครั้ง โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนมิ.ย. และธ.ค. นี้ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ คือ นโยบายภาษีของทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา

มุมมองของ บลจ.ทิสโก้ ประเมินว่าในช่วงต้นปี 68 เฟดไม่ลดดอกเบี้ยนโยบาย เร็วสุดที่จะเห็นการลดดอกเบี้ย คือ เดือนมิ.ย. นี้ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือเรียกว่า Higher for Longer คือ ไม่ปรับลดลงเร็วนัก

ปัจจุบันดอกเบี้ยสหรัฐญ อยู่ 4.25 - 4.5% ถึงแม้จะลด 0.5% ดอกเบี้ยก็ยังอยู่ 3.75 - 4.0% ก็ยังอยู่ระดับสูง เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยนโยบายประเทศอื่นๆ

ทำไมตลาดตราสารหนี้จึงน่าจับตามองปี 68

  • อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐอเมริกา ยังคงอยู่ในระดับสูง
  • การคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 0.5% จำนวน 2 ครั้ง
  • ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 2 ปี อยู่ที่ระดับประมาณ 4.20% อายุ 10 ปี อยู่ที่ประมาณ 4.50%
  • ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา

หากมองว่าดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะปรับลดลงช้า สิ่งที่จะเห็น คือ เงินดอลลาร์แข็งค่า โดยปี 68 ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (Dollar Index) แตะระดับสูงกว่า 100 แสดงว่าดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ผลที่ตามมา คือ เงินลงทุนจะไหลเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ และเงินลงทุนบางส่วนก็จะไปลงทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะเมื่อดอกเบี้ยลดลงช้า ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูง

โอกาสการลงทุนในตราสารหนี้

สถานการณ์และการคาดการณ์ในปัจจุบัน สามารถสร้างโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในตราสารหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะในภาวะ Higher for Longer ส่งผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนที่เลือกถือตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาลอายุสั้น (เช่น 1 - 2 ปี) มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง ด้วยความเสี่ยงต่ำ

โดยในปี 68 นี้ ผู้จัดการกองทุนที่สามารถไปลงทุนในสหรัฐฯ และต้องการ Exposure ในดอลลาร์ ก็จะลงทุน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะได้รับผลตอบแทนในระดับที่ดี และสมมติว่าเฟดปรับลดอกเบี้ยนโยบาย ถึงแม้จะส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี ปรับลดลงต่ำกว่า 4.0% และอายุ 10 ปี ก็ปรับลดลงมาอยู่ระดับ 4.5 - 4.25% แต่ก็นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอนพร้อมความเสี่ยงต่ำ

จัดการพอร์ตลงทุนตราสารหนี้ปี 68 อย่างไร

การจัดพอร์ตการลงทุนแบบสมดุล สำหรับคนทั่วไป (ไม่ดูช่วงอายุ) ปีนี้ ขอแนะนำตราสารหนี้ (สัดส่วน 35%) หุ้น (สัดส่วน 65%) โดยพอร์ตตราสารหนี้แบ่งเป็น 15% ลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ส่วน 20% ลงทุนตราสารหนี้ไทย (10% เน้นตราสารหนี้ระยะสั้น อีก 10% เน้นตราสารหนี้ระยะกลาง)

จัดเต็มกลยุทธ์ จัดพอร์ตลงทุนตราสารหนี้อย่างไรให้ผลตอบแทนเพิ่ม

สำหรับตราสารหนี้ต่างประเทศ แนะนำพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น (ไม่เกิน 2 ปี) เพราะจะได้ผลตอบแทนแน่นอน ประมาณ 4.27% ต่อปี ทั้งนี้ ผลตอบแทนดังกล่าวยังอยู่ในรูปดอลลาร์ หมายความว่ายังไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน

และหากหักการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนจะเหลือผลตอบแทนประมาณ 2.0% (ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับการลงทุนในต่างประเทศสกุลดอลลาร์ 1 ปี อยู่ที่ประมาณ 2.25%) หมายความว่าจะได้รับผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นไม่เกิน 2 ปี ประมาณ 2.0%

โดยนักลงทุนที่ชื่นชอบลงทุนพันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ ส่วนใหญ่รับความเสี่ยงได้สูง (เพราะเป็นการไปลงทุนต่างประเทศ) ไม่กังวลความเสี่ยงด้านเครดิต มีความมั่นใจต่อความแข็งแกร่งเงินดอลลาร์ ขณะเดียวกันมีมุมมองว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ขยายตัวสูงนักและเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่า

สำหรับทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ข้อดีคือ ลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มากและสามารถลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) ได้ด้วย

เหตุผลที่ควรลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

จัดเต็มกลยุทธ์ จัดพอร์ตลงทุนตราสารหนี้อย่างไรให้ผลตอบแทนเพิ่ม

ระดับผลตอบแทนที่น่าดึงดูด

คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะอยู่ในช่วง 4 - 5% ถือเป็นระดับที่ดีเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยช่วงอัตราผลตอบแทนดังกล่าวถือว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

ผลตอบแทนที่แท้จริง

คำนวณรวมเงินเฟ้อแล้วก็เป็นบวกเช่นกัน โดยอัตราผลตอบแทนปัจจุบันของพันธบัตรที่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ แสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนที่แท้จริงสูงกว่าเงินเฟ้อเป้าหมายของเฟดที่ 2% สถานการณ์นี้ทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่แท้จริง ส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาลเป็นทางเลือกการลงทุนที่ปลอดภัยที่น่าสนใจ

โอกาสสร้างรายได้ที่มั่นคง

เมื่อคาดว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ พันธบัตรรัฐบาลสามารถเป็นแหล่งรายได้ที่ไว้วางใจ และอาจให้ผลตอบแทนดีกว่าการถือเงินสดที่ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ

การบริหารความเสี่ยง-กระจายการลงทุน

พันธบัตรรัฐบาลมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน เมื่อหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ เผชิญกับภาวะถดถอย พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา สามารถช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับพอร์ตการลงทุน โดยราคาพันธบัตรมักปรับตัวสูงขึ้นเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลง จึงช่วยป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดให้กับนักลงทุน

ยิ่งไปกว่านั้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการคลังและการเพิ่มขึ้นของการกู้ยืมของรัฐบาล เนื่องจากระดับหนี้ที่สูง พันธบัตรรัฐบาลสามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกันความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ยังให้ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผล

ดีมานด์พันธบัตรสหรัฐฯจากทั่วโลก

ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และค่าเงินดอลลาร์ยังคงดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกให้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง เมื่อผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกปรับตัวลดลง ความน่าสนใจของพันธบัตรสหรัฐอเมริกาเมื่อเทียบกับตลาดอื่นก็เพิ่มขึ้น น่าจะช่วยรักษาระดับความต้องการในตลาดให้แข็งแกร่ง ซึ่งความต้องการดังกล่าวยังได้รับประโยชน์จากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์และการที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น ๆ

หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ ทำอย่างไร?

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงต่ำและไม่ต้องการมีความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน สามารถลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุสั้น ๆ ไม่เกิน 2 ปี ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 2% ต่อปี อยู่ในระดับเดียวกับที่ลงทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้น (หลังจากหักต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน) หรือลงทุนกองทุน Term Fund อายุ 6 เดือน หรือ 1 ปี ปัจจุบันได้ผลตอบแทน 1.8 – 2.0% ต่อปี

สรุป

ในยุคดอกเบี้ย Higher for Longer การลงทุนในตราสารหนี้ยังคงมีโอกาสที่น่าสนใจ โดยเฉพาะนักลงทุนที่ต้องการสร้างรายได้สม่ำเสมอและลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน กลยุทธ์สำคัญคือ การกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ที่หลากหลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งพิจารณาความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรอบคอบ

สิ่งสำคัญที่สุดคือ การมุ่งเน้นความยั่งยืนของพอร์ตการลงทุนมากกว่าการแสวงหาผลตอบแทนสูงสุดในระยะสั้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความไม่แน่นอนและความผันผวนกลายเป็นเรื่องปกติของตลาดการเงินโลก การจัดพอร์ตการลงทุนอย่างสมดุลและมีการบริหารความเสี่ยงที่ดีจะช่วยให้นักลงทุนสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาวได้

 

 

แหล่งที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)