ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ 21 เมษายน 2568 หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่มแรงกดดันต่อเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ลดอัตราดอกเบี้ยทันที ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลาง
ดัชนีหลักทั้งสามของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงกว่า 2% โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 38,170.41 จุด ลดลง 971.82 จุด หรือ 2.48%
ส่วนดัชนี S&P 500 ลดลง 124.50 จุด หรือ 2.36% ปิดที่ 5,158.20 จุด
ดัชนีแนสแด็กลดลง 415.55 จุด หรือ 2.55% ปิดที่ 15,870.90 จุด
ดัชนี S&P 500 ปิดต่ำกว่าจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ถึง 16% ซึ่งหากดัชนีปิดต่ำกว่าจุดสูงสุดถึง 20% จะเป็นการยืนยันว่าตลาดเข้าสู่ภาวะหมี (Bear Market)
ประธานาธิบดีทรัมป์โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัว "เว้นแต่นายสายเกินไป(เจอโรม พาวเวลล์) ผู้แพ้รายใหญ่ จะลดอัตราดอกเบี้ยเดี๋ยวนี้" ซึ่งสร้างความกังวลต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลาง
นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากปักกิ่งเตือนประเทศอื่นๆ ไม่ให้ทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ โดยเสียประโยชน์ให้กับจีน ซึ่งเพิ่มเชื้อไฟให้กับสงครามภาษีที่กำลังขยายวงกว้างระหว่างเศรษฐกิจสองอันดับแรกของโลก
ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยร่วงลงต่ำสุดในรอบ 3 ปีเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก และตกลงต่ำสุดในรอบทศวรรษเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ในขณะที่ยูโรแข็งค่าขึ้นเหนือระดับ 1.15 ดอลลาร์
ที่ประชุมเฟดมีกำหนดการประชุมในวันที่ 6-7 พฤษภาคมนี้ และคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% โดยเจ้าหน้าที่เฟดระบุว่า พวกเขาต้องการเวลาในการประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นถึง 4% หรือสูงกว่านั้นในช่วงที่เหลือของปี
ออสติน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวกับ CNBC ว่า "ผลกระทบของภาษีนำเข้าต่อเศรษฐกิจมหภาคอาจมีขนาดเล็ก แต่เรายังไม่ทราบผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้นผมคิดว่าเราต้องการความมั่นคงมากขึ้นและพยายามหาแนวทางก่อนที่จะดำเนินการ"
ฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกกำลังเข้าสู่ช่วงคึกคัก โดยบริษัทที่มีผู้จับตามองหลายแห่งมีกำหนดรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ จนถึงขณะนี้ จากบริษัท 59 แห่งที่รายงานผลแล้ว 68% สามารถทำได้ดีกว่าที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ ตามข้อมูลของ LSEG
นักวิเคราะห์คาดว่าการเติบโตของกำไรโดยรวมในไตรมาสแรกของดัชนี S&P 500 จะอยู่ที่ 8.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งลดลงจากการคาดการณ์การเติบโตที่ 12.2% ในช่วงต้นไตรมาส