ทรัมป์กดดันเฟดหนัก หลังเศรษฐกิจสหรัฐสะเทือนจากสงครามภาษี

18 เม.ย. 2568 | 04:17 น.
อัปเดตล่าสุด :18 เม.ย. 2568 | 04:40 น.

ภายใต้แรงกดดันจากภาษีตอบโต้และสงครามการค้า โดนัลด์ ทรัมป์หันไปกดดันธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างหนัก มุ่งเป้าไปที่ประธานเฟด “เจอโรม พาวเวลล์” ที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ย

ถ้าผมอยากให้เขาออก เขาก็จะออกไปเร็วมาก เชื่อผมสิ ผมไม่พอใจเขาเลย

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) โดยแสดงออกอย่างชัดเจนว่าโกรธจัดที่ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องซ้ำ ๆ ที่ให้ลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ชาวอเมริกันกู้เงินซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น อาจช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และดันตลาดหุ้นให้สูงขึ้น

ธนาคารกลางสหรัฐฯ เคยปรับลดดอกเบี้ยติดต่อกัน 3 ครั้งเมื่อปีที่แล้ว หลังคุมเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้เป้าหมายได้ แต่ขณะนี้ได้หยุดกลยุทธ์นั้นไว้ชั่วคราวเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ซึ่งยิ่งรุนแรงจากภาวะผู้นำที่ผันผวนของทรัมป์ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งได้ไม่ถึง 3 เดือน

ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทรัมป์ที่มีอารมณ์หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อคำเตือนของพาวเวลล์ในวันก่อนหน้านั้นว่า

มาตรการภาษีอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อและการว่างงานที่เพิ่มขึ้น และว่าภาระบางส่วนจะตกอยู่กับประชาชน

คำปราศรัยของพาวเวลล์ต่อ Economic Club of Chicago ถือเป็นถ้อยแถลงที่ชัดเจนที่สุดจากเจ้าหน้าที่การเงินระดับสูงเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดจากนโยบายของทรัมป์

เขากำลังพูดในสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อ เกี่ยวกับผลกระทบของภาษีศุลกากร แต่คำกล่าวนั้นกลับขัดแย้งกับความเชื่อของทรัมป์ที่มีต่อการเก็บภาษีนำเข้า และการยืนกรานว่ากลยุทธ์นี้จะไม่ทำให้ราคาสินค้าพุ่งขึ้นหรือถ่ายโอนต้นทุนให้ผู้บริโภค

ความไม่พอใจของทรัมป์ที่มีต่อพาวเวลล์ยิ่งเพิ่มขึ้น

ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank) เพิ่งปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 7 ในรอบหนึ่งปี ทำให้ตั้งคำถามว่าทำไมเฟดถึงไม่ดำเนินนโยบายที่รุกคืบในทำนองเดียวกัน

เขาช้าเกินไป  ช้าเสมอเลย ช้าไปหน่อย และผมไม่พอใจเขา ผมบอกให้เขารู้แล้ว

ผลงานของพาวเวลล์ กับการบริหารเศรษฐกิจถูกมองว่าเป็นไปอย่างมั่นคงในช่วงเวลาที่ปั่นป่วน ซึ่งรวมถึงการระบาดของโควิด-19 และวิกฤตการเงินที่ตามมา โดยสามารถพาเงินเฟ้อลดลงจากจุดสูงสุดที่มากกว่า 9% เหลือเพียง 2.4% โดยไม่ทำให้เกิดการว่างงานจำนวนมาก และสามารถสร้างการลงจอดอย่างนุ่มนวลที่นักวิเคราะห์หลายคนเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้

พาวเวลล์เข้าดำรงตำแหน่งประธานเฟดในปี 2018 หลังจากได้รับการเสนอชื่อโดยทรัมป์ และได้รับการแต่งตั้งอีกครั้งในปี 2022 โดย อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน วาระของเขาจะสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม 2026

เหตุใดเฟดที่เป็นอิสระจึงมีความสำคัญ

ธนาคารกลางสหรัฐฯ ถูกจัดตั้งขึ้นโดยรัฐสภาในปี 1913 ในฐานะหน่วยงานอิสระ เพื่อป้องกันไม่ให้ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางการเมือง 

ภารกิจของเฟดคือการรักษาเสถียรภาพด้านราคาและการจ้างงาน ซึ่งบางครั้งอาจขัดแย้งกับความต้องการระยะสั้นของฝ่ายนิติบัญญัติและผู้บริหารประเทศ

หากทรัมป์สามารถควบคุมอัตราดอกเบี้ยได้ตามอำเภอใจ ไม่ว่าจะผ่านประธานเฟดที่ทำตามคำสั่ง หรือช่องทางอื่น ๆ ก็อาจสร้างความสับสนต่อตลาดการเงิน ทำลายความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเกือบจะแน่นอนว่าจะทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูง

และนั่นจะเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่แสดงว่า สหรัฐฯ ในฐานะหลักยึดแห่งเสถียรภาพการเงินของโลก กำลังเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วในวาระที่สองของทรัมป์

ความปั่นป่วนในตลาดที่อาจเกิดขึ้น

หลังจากที่ตลาดหุ้นร่วงหนักและผันผวนตั้งแต่ทรัมป์เปิดฉากสงครามภาษีในเดือนนี้ อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เขายังไม่ลงมือปลดพาวเวลล์

The Wall Street Journal รายงานว่า ทรัมป์เคยพูดคุยถึงเรื่องการปลดพาวเวลล์ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูง รวมถึงรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ ยังสามารถโน้มน้าวให้ชะลอการตัดสินใจได้

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในวอชิงตันว่า ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจในการปลดกรรมการของหน่วยงานอิสระโดยไม่มีเหตุอันสมควร แต่ฝ่ายบริหารของทรัมป์กำลังหวังให้ศาลฎีกาล้มล้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่มีมาตั้งแต่ปี 1935 ซึ่งเป็นพื้นฐานของสมมติฐานนั้น

ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของพาวเวลล์ ได้เกิดขึ้นในจังหวะที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องจากนโยบายภาษีของทรัมป์ โดยเฉพาะอัตราภาษี 145% ที่เรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากจีน

ผลกระทบจากแนวทางนี้อาจปรากฏในรูปของราคาสินค้าที่สูงขึ้น การขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าอื่น ๆ ที่จำเป็น ขณะที่ทรัมป์ได้ระงับการเก็บภาษีตอบโต้กับหลายประเทศ และกล่าวว่า รัฐบาลของประเทศเหล่านั้นเสนอข้อตกลงการค้าให้กับสหรัฐฯ มากมาย แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการดึงการผลิตและการจ้างงานกลับมาภายในประเทศได้ในระยะสั้นหรือไม่

ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง และบริษัทต่าง ๆ ก็กำลังประสบปัญหาในการวางแผนเป้าหมายและงบประมาณสำหรับปีหน้า ซึ่งสร้างความกังวลเพิ่มเติมว่าเศรษฐกิจอาจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า