นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ถูกแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้นั้น มองว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนักลงทุนจีนที่เป็นเจ้าหนี้ทำการเทขายออกมากดดันให้ US Bond Yield ปรับตัวขึ้น
คำถามคือกระทบอย่างไรกับกระแสเงินทุน เมื่อเกิดการขายพันธบัตรก็อาจเป็นไปได้จะเห็นเงินไหลออกจากสหรัฐฯ สอดคล้องกับ Dollar Index ที่อ่อนค่าต่อเนื่อง และทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่า อย่างไรก็ตามเงินบาทที่แข็งค่าอาจไม่ได้หมายความว่าทำให้กระแสเงินทุนกลับเข้ามายังตลาดหุ้น
เพราะตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศ แม้ล่าสุดจะสั่งระงับเกือบทุกประเทศเป็นเวลา 90 วัน ยกเว้นจีน แต่เมื่อเป็นทรัมป์แล้วอะไรก็มักจะเกิดขึ้นได้ ในขณะที่กำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯกับจีนก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก (สถิติการเกิดสงครามการค้าทำให้ GDP ทั่วโลกปรับลง)
ทั้งนี้ ราคาสินค้าในสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะสูงขึ้นตามการปรับขึ้นภาษีนำเข้า มีผลต่อทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ทำให้การดำเนินงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จากนี้จะค่อนข้างยาก ปัจจุบันนั้นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณของการอ่อนแอ
โดยสะท้อนผ่านการจ้างงานที่เริ่มน้อยกว่าที่ทางนักวิเคราะห์คาดการณ์จากหลายแห่ง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอลง ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ปกติก็อาจเห็น FED ลดดอกเบี้ย แต่อย่างไรก็ตามด้วยราคาสินค้านำเข้าที่จะสูงขึ้นเป็นปัจจัยเร่งเงินเฟ้อให้สูงขึ้นอีกด้วย
ข้อมูลล่าสุดจาก CME FED Watch ประเมินว่า FED จะลดดอกเบี้ยในปี 2568 นี้ ทั้งหมด 4 ครั้ง สูงขึ้นจากเมื่อตอนต้นปีที่ประเมินไว้เพียง 1-2 ครั้ง สะท้อนว่านักลงทุนคาดหมายไว้ว่าแม้เงินเฟ้ออาจสูงขึ้น แต่เศรษฐกิจอาจทรุดตัวหนักกว่า
การเจรจากับสหรัฐฯของไทย อาจไม่ได้คาดหวังอะไรได้มากนักเพราะเชื่อว่าการต่อรองจะใช้ระยะเวลาและสินค้าที่สหรัฐฯส่งออกมายังประเทศไทยประกอบไปด้วยเครื่องจักรกล คอมพิวเตอร์ (30%) เคมีภัณฑ์ (20%) ยานยนต์และชิ้นส่วน (15%) ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสินค้าขนาดใหญ่ / ราคาสูง ทำให้การนำเข้าจากสหรัฐฯอาจมิได้สูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
ด้วยกำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอ (ประเทศไทยรายได้ปานกลาง) ส่วนการห้าม Short หุ้นนั้นช่วยได้เพียงระยะสั้นท้ายที่สุดแล้วหากนักลงทุนไม่มั่นใจก็สามารถขายหุ้นออกได้ ในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์ห้ามการ Short Sale พบว่า % ในการ Short ลดลงจาก 4.6% ลงมาเหลือเพียง 0.1%
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายประเมินกรอบดัชนี SET Index ในสัปดาก์นี้ (16-18 เม.ย.68) เคลื่อนไหวในกรอบ 1,050 - 1,150 จุด โดยกลยุทธ์ที่แนะนำคือเลือกหุ้นที่ผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด เช่น โรงพยาบาล (BDMS) ค้าปลีก (CPALL) และ ศูนย์การค้า (CPN) เป็นต้น
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท ทรีนีตี้วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY ได้ให้มุมมองกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การที่ประเทศสหรัฐฯ ออกมาตรการภาษีตอบโต (reciprocal tariffs) กับหลายประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่ถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าครั้งนี้
ส่งผลให้สถานการณ์สงครามการค้าทวีความรุนแรงมากขึ้น จนแปลเปลี่ยนเป็นสงครามการเงิน เพราะความกดดันดังกล่าวทำให้เหล่าประเทศพัฒนาแล้วทั้งญี่ปุ่นและจีนกระหน่ำเทขายพันธบัตรออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทบค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในปัจจุบัน ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
ภาพถัดมาคือ ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังเพิ่มขึ้นจากส่วนต่างระหว่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี กับ 3 เดือน ที่ติดลบที่ -0.046442 ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนภัยเศรษฐกิจถดถอย เมื่อส่วนต่างนี้ติดลบ มักจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมาภายใน 12-18 เดือน
"การที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็มองว่า FED อาจต้องเผชิญกับความอึดอัดใจในการปรับลดดอกเบี้ยลง เพราะบอนด์ยีลด์ที่สูงขึ้นก็จะทำให้เครื่องมือในการลดดอกเบี้ยในมือน้อยลงตามไปด้วย และด้วยสงครามการค้าที่มีแนวโน้มยืดเยื้อทำให้คาดว่าเหล่าประเทศต่างๆ จะยังมีการทยอยขายพันธบัตรสหรัฐฯ ออกมาอย่างต่อเนื่อง"