ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11มี.ค. "อ่อนค่าลง”ที่ระดับ 33.91 บาทต่อดอลลาร์

11 มี.ค. 2568 | 01:27 น.
อัปเดตล่าสุด :11 มี.ค. 2568 | 03:13 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11มี.ค.ที่ระดับ 33.91 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.79 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ในช่วงระหว่างวัน เงินบาท (USDTHB) อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ที่อาจยิ่งกดดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเพิ่มเติม ทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจเดินหน้าขายหุ้นไทยต่อได้ 

อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้นได้ แต่จะเห็นได้ว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควรและเป็นปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามในการประเมินแนวโน้มค่าเงินบาท

ทั้งนี้ แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า แต่การอ่อนค่าก็อาจค่อยเป็นค่อยไปได้ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้ส่งออก อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้านอย่างโซน 33.90-34.00 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 34.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน 

เรามองว่า เงินบาทอาจกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงได้ ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following มิเช่นนั้นแล้ว เงินบาทก็อาจยังคงแกว่งตัวในลักษณะ Sideways ไปก่อนได้

อนึ่ง หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ก็อาจยังคงไม่สามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 33.70-33.80 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก (แนวรับถัดไปยังอยู่ในช่วง 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์) จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเรามองว่า การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงที่ผ่านมา อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอย Buy on Dip น้ำมันดิบเพิ่มเติม ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันเงินบาทได้

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในกรอบ 33.76-33.95 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดการเงินสหรัฐฯ


นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ดังกล่าว ยังทำให้เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม ตามการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) โดยความต้องการถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในจังหวะตลาดการเงินผันผวน ยังคงหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะ Buy on Dip ทองคำอยู่ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง


บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ และนโยบายปรับลดการจ้างงานภาครัฐโดย DOGE ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ

นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็เดินหน้าขายหุ้นเทคฯ โดยเฉพาะ Tesla -15.4% หลังนักวิเคราะห์เริ่มปรับลดแนวโน้มการส่งมอบรถยนต์ EV ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -4.00% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -2.70%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงกว่า -1.29% กดดันโดยแรงขายบรรดาหุ้นเทคฯ ยุโรป อาทิ SAP -4.8%, ASML -4.1% ตามการปรับตัวลงของหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ ในช่วงนี้ อีกทั้ง ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินยังได้หนุนแรงขายทำกำไรบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่ผ่านมา

ในส่วนตลาดบอนด์ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินได้หนุนความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง สู่ระดับ 4.20% ทั้งนี้ เราคงแนะนำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยไม่ไล่ราคาซื้อ ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลง

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ที่ยังหนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์อยู่ ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกจำกัดลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของสกุลเงินหลัก ทั้ง เงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสู่โซน 103.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.6-104.1 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และแรงขายทำกำไรทองคำของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) ย่อตัวลง แต่ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความต้องการซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาด ในจังหวะที่เผชิญภาวะปิดรับความเสี่ยง ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 2,890-2,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) โดยรายงานข้อมูลดังกล่าวก็อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้

ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 42% ที่จะลดดอกเบี้ยราว 4 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 1 ครั้ง ในปีหน้า ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงมากกว่าคาดจากผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และการปรับลดการจ้างงานในภาครัฐโดย DOGE

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.87-33.89 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.79 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับหลายสกุลเงินในเอเชีย ประกอบกับน่าจะมีปัจจัยลบจากสัญญาณขายสุทธิในตลาดพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ และแรงกดดันด้านอ่อนค่าต่อเนื่องหลังราคาทองคำหลุดระดับ 2,900 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ลงมา

ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังคงได้รับแรงหนุนจากถ้อยแถลงของประธานเฟดเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ที่ระบุว่า เฟดยังคงไม่รีบที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยจะรอติดตามและประเมินผลกระทบจากนโยบายของ ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ก่อน นอกจากนี้ ยังน่าจะมีแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ก่อนการรายงานตัวเลข CPI ของสหรัฐฯ ในช่วงกลางสัปดาห์ด้วยเช่นกัน 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.75-34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้าของสหรัฐ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ รวมถึงตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนม.ค.ของสหรัฐฯ