ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้5มี.ค.2568 ที่ระดับ 33.68 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
ถือว่าเหนือความคาดหมายของเราพอสมควร โดยมาจากปัจจัยที่ไม่ได้คาดคิดอย่าง การแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ตอบรับแนวโน้มรัฐบาลใหม่ของเยอรมนีเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแก้ไขกฎเกณฑ์การกู้เงิน
นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทดังกล่าว ยังคงสะท้อนให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำนั้นมีผลต่อทิศทางเงินบาทพอสมควร อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงที่อาจทยอยอ่อนค่าลงได้ ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดทุนฝั่งเอเชีย
ทำให้เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า จากแรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติได้ อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้ หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัว Sideways
นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ในช่วงคืนที่ผ่านมา อาจเป็นเพียงการแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากยุโรปยังเสี่ยงเผชิญการดำเนินนโยบายกีดกันทางการจากสหรัฐฯ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงก็อาจเป็นปัจจัยกดดันเงินยูโรได้
อีกทั้ง เราคงกังวลว่า ผู้เล่นในตลาดได้ “รับรู้และคาดหวัง” ว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ ไปพอสมควรแล้ว ทำให้มีความเสี่ยงที่ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงานออกมาดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองการลดดอกเบี้ยของเฟดดังกล่าว จนหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นได้
อนึ่ง เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มจากยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในช่วงราว 20.15 น. ตามเวลาประเทศไทย จนถึงช่วง 22.00 น. ที่ตลาดจะรับรู้รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ
เนื่องจากสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่าเงินบาท (USDTHB) เสี่ยงผันผวน +/-0.20% ได้ภายในช่วง 30 นาที หลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.90 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.65-33.86 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าในช่วงแรกเงินบาท
รวมถึงบรรดาสกุลเงินอื่นๆ จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ตามความกังวลผลกระทบจากการเดินหน้านโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ทว่า เงินบาทก็ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ ที่ได้แรงหนุนจากความต้องการถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย รับมือความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลง หลังบรรดาสกุลเงินฝั่งยุโรป นำโดยเงินยูโร (EUR) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 1.06 ดอลลาร์ต่อยูโร ตามความหวังว่าว่าที่รัฐบาลใหม่ของเยอรมนีจะสามารถผ่านร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขกฎเกณฑ์ในการกู้เงินของรัฐบาล ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มงบประมาณด้านการทหารและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนานใหญ่ วงเงินราว 5 แสนล้านยูโร
ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการอ่อนค่าลงของสกุลเงินหลัก อย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่กลับมาอ่อนค่าเหนือโซน 149.50 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ตามส่วนต่างระหว่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ที่กว้างมากขึ้น
หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้งของเฟดในปีนี้ ลงบ้าง ท่ามกลางแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีความรุนแรงมากขึ้น
บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลผลกระทบจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี การรีบาวด์ขึ้นบ้าง ของหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Alphabet +2.3% และ Nvidia +1.7% ก็พอช่วยพยุงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้บ้าง ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.22%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ดิ่งลง -2.14% กดดันโดยแรงเทขายหุ้นกลุ่มยานยนต์และสินค้าแบรนด์เนม BMW -5.9%, LVMH -3.4% ที่อาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก แคนาดา และจีน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากความกังวลว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อาจเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้ายุโรปด้วยเช่นกัน
ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่า บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินจะกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง ทว่า ความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจและทิศทางอัตราเงินเฟ้อจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ
ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ กอปรกับราคาน้ำมันดิบก็รีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นกลับสู่ระดับ 4.23%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงในลักษณะ Sideways Down โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้น ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ก่อนที่จะเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินฝั่งยุโรป
อย่าง เงินยูโร (EUR) หลังว่าที่รัฐบาลใหม่ของเยอรมนีเตรียมแก้ไขกฎเกณฑ์การกู้เงินของรัฐบาล ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มงบประมาณด้านทหารและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนานใหญ่
ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ส่งผลให้โดยรวมเงินดอลลาร์ทยอยปรับตัวลง สู่โซน 105.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.5-106.3 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน รวมถึงความต้องการถือทองคำเพื่อรับมือความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อีกทั้งการปรับตัวลงของเงินดอลลาร์ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) สามารถแกว่งตัวแถวโซน 2,920-2,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP
รวมถึงยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) และยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงาน (Factory Orders) เป็นต้น พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี Caixin PMI ภาคการบริการของจีน ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
และในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอาจยังคงทรงตัวในกรอบเป้าหมาย 1%-3% ของธนาคารแห่งประเทศไทย
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงราว 9.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.73-33.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.84 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแข็งค่าเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดในประเทศวานนี้ โดยมีแรงหนุนจากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ท่ามกลางความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ อาจต้องเผชิญหากสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้ายังคงดำเนินต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณจาก รมว. พาณิชย์ของสหรัฐฯ ที่สะท้อนว่า สหรัฐฯ อาจมีการผ่อนปรนมาตรการภาษีบางส่วนกับเม็กซิโกและแคนาดาในเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงแข็งค่ากลับมาบางส่วนตามการย่อตัวของราคาทองคำในตลาดโลก
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.60-33.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สุนทรพจน์ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ต่อสภาคองเกรสของสหรัฐฯ สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก
และสัญญาณฟันด์โฟลว์ในตลาดการเงินไทย ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.พ. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP ดัชนี ISM และ PMI ภาคบริการเดือนก.พ. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนม.ค. และรายงาน Beige Book ของเฟด