ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18ก.ค. “อ่อนค่า”ที่ระดับ 35.92 บาทต่อดอลลาร์

18 ก.ค. 2567 | 01:13 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ก.ค. 2567 | 03:07 น.

ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าอย่างจำกัด หลังตลาดการเงินเผชิญความผันผวนและอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ฟันด์โฟลว์เริ่มเป็นฝั่งขายสุทธิ ควรระวังช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB เงินยูโรอาจถูกกดดันอ่อนค่า หาก ECB ส่งสัญญาณชัดเจนพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18ก.ค.  2567 ที่ระดับ  35.92 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  35.89 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ได้เริ่มชะลอลงแถวโซนแนวรับ 35.85 บาทต่อดอลลาร์ จริงตามที่เราประเมินไว้ โดยเรายังคงเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้า รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) จากผู้เล่นในตลาด ซึ่งคอยช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้

นอกจากนี้ เรามองว่า การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงคืนที่ผ่านมา อาจทำให้มีโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบเข้ามาชะลอการแข็งค่าของเงินบาทเพิ่มเติมได้ ทำให้เงินบาทก็อาจยังมีโซนแนวรับหลักแถว 35.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้ในช่วงนี้ จนกว่าจะมีการรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

ขณะเดียวกัน เราประเมินว่า ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติก็อาจเริ่มเป็นฝั่งขายสุทธิได้บ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มเผชิญความผันผวนและเสี่ยงกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง อย่างไรก็ดี เรามองว่า การอ่อนค่าลงของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน โดยเงินบาทก็อาจยังติดโซนแนวต้านแถว 36.00-36.10 บาทต่อดอลลาร์

 

อนึ่ง ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB ซึ่งอาจส่งผลให้เงินยูโร (EUR) ผันผวน ได้พอสมควร โดยเฉพาะ หาก ECB ส่งสัญญาณชัดเจนว่า พร้อมทยอยลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ก็อาจกดดันให้ เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงได้บ้าง

เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.85-36.10 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 35.86-35.98 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง ตามการปรับตัวลงต่อเนื่องของราคาทองคำ ซึ่งหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าลงของเงินบาทก็ถูกชะลอลง หลังเงินดอลลาร์ได้ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง

กดดันโดยการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ได้แรงหนุนจากการทยอยปิดสถานะ Short JPY (มองเงินเยนอ่อนค่า) ของบรรดาผู้เล่นในตลาด ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็มองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงวันพุธที่ผ่านมา ก็อาจเกิดจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินของทางการญี่ปุ่นได้

นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่การประชุมเดือนกันยายน และอาจลดดอกเบี้ยราว 2-3 ครั้งในปีนี้ หลังรับรู้ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ Christopher Waller ก็มีส่วนกดดันให้เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง พร้อมกับการย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงขายทำกำไรหุ้นเทคฯ ใหญ่ที่รุนแรง นำโดย Nvidia -6.6% ท่ามกลางความกังวลว่า ทางการสหรัฐฯ อาจเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการควบคุมบรรดาบริษัทเทคฯ หากยังปล่อยให้บริษัทจีนเข้าถึงเทคฯ ของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มอื่นๆ อาทิ กลุ่มการเงินที่ส่วนใหญ่ได้รายงานผลประกอบการออกมาสดใส ก็ยังคงปรับตัวขึ้นต่อได้ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -2.77% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.39%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.48% ท่ามกลางความกังวลว่า บรรดาบริษัทเทคฯ โดยเฉพาะกลุ่ม AI/Semiconductor อาจได้รับผลกระทบ จากความขัดแย้งด้านการค้าและเทคฯ ระหว่างสหรัฐฯกับจีน ส่งผลให้หุ้นธีม AI/Semiconductor ต่างปรับตัวลงหนัก อาทิ ASML -10.9%

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานบ้าง อาทิ TotalEnergies +0.9% หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นกว่า +2% จากรายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ลดลงกว่าคาด

 ในส่วนตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงประเมินว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้งในปีนี้ และเฟดอาจเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ตั้งแต่การประชุมเดือนกันยายน ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย สู่ระดับ 4.16% ทั้งนี้ โดยรวมบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังคงแกว่งตัว sideways ในกรอบ 4.10%-4.20% สอดคล้องกับมุมมองที่เราประเมินไว้ ว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยังคงแกว่งตัว sideways ไปก่อน

โดยบรรดาผู้เล่นในตลาดอาจรอจับตาผลการประชุมเฟด รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือน-ต้นเดือนหน้า ก่อนที่จะมีการปรับสถานะถือครองบอนด์ระยะยาวที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีการเคลื่อนไหวชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ในทุกๆ จังหวะการรีบาวด์ขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเป็นจังหวะที่น่าพิจารณา “Buy on Dip” บอนด์ระยะยาวได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังคงไม่สามารถแข็งค่าขึ้นได้ต่อเนื่อง ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้งในปีนี้

ขณะเดียวกัน การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) สู่โซน 155.5 เยนต่อดอลลาร์ ก็มีส่วนกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่ระดับ 103.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.6-103.9 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) เผชิญแรงกดดันบ้างจากจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลดลงสู่โซน 2,450-2,460 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ผู้เล่นในตลาดจะทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวเพิ่มเติม หนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นบ้างและสามารถทรงตัวเหนือโซน 2,460 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ในการประชุมครั้งนี้ ECB อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิม แต่ผู้เล่นในตลาดก็จะรอลุ้นว่า ECB จะส่งสัญญาณพร้อมทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งถัดๆ ไป หรือไม่

โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยลงอีกราว 2 ครั้งในปีนี้ (การประชุมเดือนกันยายนและเดือนธันวาคม) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)

ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนก็จะเป็นสิ่งที่ผู้เล่นในตลาดให้ความสนใจเช่นกัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.96-35.98 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.24 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.88 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทอ่อนค่ากลับมาตามจังหวะแรงขายทำกำไรทองคำในตลาดโลก และการอ่อนค่าของเงินเยน (หลังราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเงินเยนขยับแข็งค่าขึ้นมากท่ามกลางการคาดการณ์ว่าทางการญี่ปุ่นอาจเข้าดูแลเงินเยนไม่ให้อ่อนค่าเร็วเมื่อวานนี้)  

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.90-36.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกและสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประกอบด้วย ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจโดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนก.ค. และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์