ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในการประชุมครั้งที่2//2567 มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี โดยกรรมการ 2เสียงเห็นควรให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปีนั้น
ดร.ปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)แถลงภายหลังผลการประชุม กนง.เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 โดยระบุว่า ความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยนั้น ต้องมองภาพรวมเศรษฐกิจต่อเนื่องถึงในปีหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นด้วย ซึ่งครึ่งปีหลังของปีนี้ยังมีความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก เป็นปัจจัยที่อาจกระทบภาวะการเงินของประเทศด้วย
รวมทั้งการลดหนี้ต่อจีดีพีของหนี้ครัวเรือน การต้องติดตามการเข้าถึงสินเชื่อ ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมนั้น ไม่สามารถระบุได้ เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่มีความไม่แน่นอน
จุดสำคัญที่จะทำให้กนง.ลดดอกเบี้ยนั้น คือ เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นภาพสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน โดยข้อมูล 2เดือนแรกที่ออกมา มองไตรมาส1ปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโตมากกว่าไตรมาส4ปีที่แล้วแน่นอน
โดยปีนี้ภาคการคลังน่าจะเร่งเบิกจ่ายกลับมาระดับหนึ่งและจะเป็นแรงส่งหลังไตรมาสสอง แต่ยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยเศรษฐกิจและผลจากมาตรการภาครัฐ โดยนโยบายการเงินช่วงนี้เอื้อต่อการขยายตัวเศรษฐกิจระยะยาว
โดยนโยบายการเงินไม่ได้ฉุดรั้งเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่เป็นปัจจัยเชิงโครงสร้าง ซึ่งจะมีมาตรการทางการคลังเข้ามาช่วย จึงไม่ใช่สถานการณ์ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการทำนโยบายการเงินและมาตรการทางการคลังพร้อมกันเช่นช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ทั้งมาตรการทางการคลังและมาตรการทางการเงินเข้าไปช่วยเต็มที่และต้องถอนคันเร่งเมื่อวิกฤติโควิตคลี่คลาย
ดร.ปิติกล่าวว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยจะกระทบพลวัตของการก่อหนี้ พร้อมยกตัวอย่าง ถ้ามีการลดดอกเบี้ยลง 1.0% โดยช่วงแรกจะเห็นว่าหนี้จะเพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยสนับสนุนจีดีพีให้เพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาคือมูลหนี้คงค้างที่สูงขึ้นเรื่อยๆซึ่งจะสร้างภาระหนี้ คล้ายๆกินอำนาจซื้อของประชาชนทำให้เศรษฐกิจขยายตัวลดลงในระยะปานกลาง
" เป็นการชั่งน้ำหนักระยะสั้นกับระยะปานกลาง" ที่ต้องมอง ซึ่งจุดยืนของไทยปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว ส่วนการลดดอกเบี้ยผลที่จะช่วยภาระหนี้ซึ่ง กรรมการ 2ท่านก็มองเรื่องนี้ แต่ถ้ามองในแง่ของเม็ดเงินภาพรวมปรับดอกเบี้ยจะกระทบรายใหญ่ แต่ถ้าเทียบสัดส่วนรายได้จะแตกต่างกันในการกระจายตัว
“ การลดหนี้ต่อจีดีพีจะเป็นไปได้ขึ้นอยู่กับพลวัต 2ส่วนคือ การขยายตัวของหนี้ใหม่ ทำให้หนี้ต่อจีดีพีสูงขึ้น และรายได้เพิ่มขึ้นทำให้หนี้ต่อจีดีพีลดลง สิ่งที่อยากเห็นคือ ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นสูงมากกว่านี้ หากมีแรงขับเคลื่อนจากการส่งออก ประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้น คณะกรรมการไม่ได้มองอัตราดอกเบี้ยจะเป็นเครื่องมือหลักในการแก้ปัญหาหนี้ที่สูงแต่เป็นหนึ่งในพื้นฐานทำให้ปัญหาไม่แย่ลงในการไปก่อหนี้เพิ่มขึ้นมากเกินไป แต่ต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะ การปรับโครงสร้างหนี้และให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาได้เต็มศักยภาพด้วย”
-ชั่งน้ำหนักภายใต้ข้อมูลใหม่ในการประชุมครั้งหน้า
ต่อข้อถามกรณีนายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้ธปท.ลดดอกเบี้ยนั้น ดร.ปิติกล่าวว่า เป็นมุมมองที่เป็นเหตุเป็นผล เช่น กรรมการ 2เสียง ก็เห็นควรให้ลดดอกเบี้ย แต่มีหลายปัจจัยให้ต้องชั่งน้ำหนัก ทั้งระยะสั้นระยะยาว รายเล็กรายใหญ่ หรือภาคต่างประเทศและในประเทศ
ในการประชุมรอบนี้ คณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นพ้องกันโดยมองภาพเศรษฐกิจที่ประมาณการจะเติบโต 2.6% ส่วนกรรมการอีก 2ท่านมองการใช้เครื่องมือดอกเบี้ยต่ำช่วยบรรเทาภาระหนี้ ซึ่งเป็นการ “ชั่งน้ำหนัก” และรอบต่อไปก็ต้องชั่งน้ำหนักอีกทีภายใต้ข้อมูลใหม่ และท่านนายกฯก็ชั่งน้ำหนักอีกแบบหนึ่ง
ดร.ปิติกล่าวว่า ปีนี้คาดการณ์จีดีพีปีนี้จะขยายตัว 2.6% โดยคาดว่าตัวเลขของไตรมาส 1ที่กำลังจะออกการขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.0% ซึ่งเป็นการเร่งตัวของเศรษฐกิจไตรมาสต่อไตรมาส หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 4.0%ต่อปี แม้ตัวเลขรวมดูไม่สูงมาก แต่เป็นการขยายตัวที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับหลายสำนักเศรษฐกิจที่มองแรงส่งเศรษฐกิจใน 3ไตรมาสค่อนข้างดี โดยเฉพาะแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคยังมีต่อเนื่อง
ส่วนแรงฉุดจากปีที่แล้วทั้งสินค้าคงคลังและการเบิกจ่ายภาครัฐจะทยอยหมดไปช่วงไตรมาสสองของปีนี้ โดยภาคการคลังช่วงไตรมาสแรกมีแรงฉุดค่อนข้างมาก แต่หลังจากไตรมาสแรกจะมีการเร่งเบิกจ่ายซึ่งจะกลายเป็นแรงเสริมแทน ส่วนภาคส่งออกยังต้องดูปัจจัยเชิงโครงสร้างต่อไป แนวโน้มการส่งออกยังขยายตัวค่อยเป็นค่อยไป
ดร.ปิติ ดิษยทัต กล่าวอธิบายถึงพัฒนาการเศรษฐกิจปีที่แล้วว่า ภาพรวมของพัฒนาการเศรษฐกิจไทยในปีที่แล้ว เป็นปีที่เศรษฐกิจไทยมีแรงส่งและแรงฉุดพร้อมกัน โดยแรงส่งเชิงวัฎจักรหรือเชิงระยะสั้น คือ การท่องเที่ยวกลับเข้ามาในประเทศสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชน ส่วนแรงฉุดสำคัญ ได้แก่ สินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายแต่โดยรวมทั้งปีมีแรงฉุดจากสินค้าคงคลัง 4.6% , การเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า (เป็นแรงฉุดชั่วคราว)
ขณะเดียวกันแรงฉุดจากภาคส่งออกที่มาจากปัจจัยเชิงวัฎจักรเช่น ความต้องการของโลกที่ฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะ “Electronic Cycle” และความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและภาคส่งออกไทยที่ด้อยลง โดยรวมทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีที่แล้วขยายตัว 1.9%
“แรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจของปีที่แล้วมีแรงฉุดเชิงวัฎจักรระยะสั้นระดับหนึ่งในการที่จะค่อยๆทยอยหมดไปทำให้ปีนี้มีการขยายตัวในอัตราสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว ขยายตัวใกล้ศักยภาพ ตัวแรกที่เป็นพื้นฐานของกิจกรรมทางเศรษฐกิจคือ การบริโภคภาคเอกชนคาดว่าปีนี้จะเหลือโต 3.5% จากปีที่แล้วเติบโต 7.1% ซึ่งจาก 2-3ปีที่ผ่านมาการบริโภคของไทยเร่งตัวค่อนข้างแรง
ที่สำคัญ ภายใต้การขยายตัว 7.1%ของการบริโภคภาคเอกชนปีที่แล้วนั้น เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก โดยจะเห็นว่า 80%ของการขยายตัวนั้น มาจากภาคบริการ ซึ่งน้ำหนักประมาณ 70%ของการขยายตัวปีที่แล้วมาจากผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลางและรายได้สูง
ในช่วงหลังเห็นความถ่างขึ้นของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคระหว่างผู้มีรายได้สูงกับผู้ที่มีรายได้ไม่สูงนัก มีความแตกต่างกำลังซื้อและความเชื่อมั่น แต่ภาพรวมจะเห็นการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องใกล้เคียงกับศักยภาพ
ส่วน "ภาคท่องเที่ยว" ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญอีกตัว โดย 2-3เดือนที่ผ่านมาทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามามากกว่าคาด โดยจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 10ล้านคนและมูลค่าการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในระดับดี ซึ่งธปท.คาดว่าทั้งปี2567 จำนวนนักท่องเที่ยวจะเข้ามาประมาณ 35.5ล้านคนซึ่งสูงกว่าคาดการณ์เดิม(34.5ล้านคน) ประมาณ 1ล้านคนโดยนักท่องเที่ยวจากจีนเข้ามามากขึ้น และในแง่รายรับสูงขึ้น 1.4ล้านล้านบาท และปีหน้าประมาณ 1.6ล้านล้านบาท
ส่วนภาคการส่งออกปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 2.0% โดยทะยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปทั้งด้วยปัจจัยเชิงวัฎจักรและเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งอยู่ ปัจจัยเชิงวัฎจักรจะค่อยๆหายไปคือ เรื่องอุปสงค์ต่างประแทศจะฟื้นขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้ แต่ภาพการฟื้นตัวของภาคการส่งออกจะมีความแตกต่างกัน ในมิติกลุ่มโปรดักต์และมิติกลุ่มผู้ประกอบการ
โดย 3 หมวดสินค้า (ฮาร์ตดิสไดร์ฟ สิ่งทอ ผลิตภํณฑ์เคมี) เป็นกลุ่มที่มีปัญหาเชิงโครงสร้างชัดเจน อีกทั้งอุปสงค์โลกลดลง ความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงซึ่งเป็นช่วงที่ภาคส่งออกอยู่ในช่วงปรับตัวและต้องติดตามต่อไปในอนาคต
ดร.ปิติกล่าวว่า ส่วนแรงฉุดเชิงวัฎจักรที่สำคัญงบลงทุนที่ถูกกระทบมากที่สุด มาจาก หลุมอากาศทางการคลัง เพราะงบประมาณล่าช้าทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจล้าช้า เมื่อเทียบไตรมาส4ปีทีแล้วกับไตรมาส 1ปีนี้
พบว่า เม็ดเงินหายไปประมาณ 0.8%ของจีดีพี หรือประมาณ 1.4แสนล้านบาท ถ้าเทียบเม็ดเงินที่ขจัดผลของเงินเฟ้อออกไปแล้วไตรมาส4เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนหน้าลดลง 20.1% และไตรมาสที่1ปีนี้ ลดลงประมาณ 39.6% แต่ข่าวดีเมื่องบประมาณผ่านไปแล้วในไตรมาสที่สอง ช่วง 3ไตรมาสที่เหลือน่าจะเร่งเบิกจ่ายภาครัฐเข้ามาเป็นแรงสนับสนุนเศรษฐกิจไทยพอสมควร
ในแง่ของเงินเฟ้อนั้นผ่านจุดต่ำสุดเดือนต.ค.ปีที่แล้ว หลังจากนั้นเงินเฟ้อทะยอยติดลบน้อยลง เหตุผลหลักของเงินเฟ้อติดลบมาจากมาตรการพลังงาน หากขจัดผลของมาตรการพลังงาน พบว่าตัวเลขเงินเฟ้อยังเป็นบวกอยู่(มี.ค.0.2% ก.พ. 0.5% ม.ค. 0.1% ธ.ค.0.2% พ.ย.0.7% ต.ค.0.9%)
มองไปข้างหน้าแนวโน้มทั้งเงินเฟ้อพื้นฐานและเงินเฟ้อทั่วไปจะค่อยๆเพิ่มขึ้นกลับเข้าสู่เป้าหมายในปลายปีนี้ โดยเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.6% และปีหน้า 1.3% และเงินเฟ้อพื้นฐาน 0.6% และ 0.9%ตามลำดับ