แบงก์ชาติลุ้น!แรงฉุดจากภาครัฐกลับเป็นแรงเสริมจีดีพีปี67โต2.6%ต่อปี

11 เม.ย. 2567 | 09:29 น.
อัปเดตล่าสุด :11 เม.ย. 2567 | 10:22 น.

ธปท.ลุ้น!การเบิกจ่ายภาครัฐเป็นแรงเสริมภาคท่องเที่ยว การบริโภคเอกชน ส่งศรษฐกิจในอีก 3ไตรมาสที่เหลือ หนุนจีดีพีไทยโต 2.6% ย้ำนโยบายการเงินไม่ฉุดรั้งเศรษฐกิจ เหตุผลกนง.คงดอกเบี้ย 2.50%ต่อปี ห่วงภาวะการเงินในประเทศ -หนี้ต่อจีดีพีของหนี้ครัวเรือน

ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในการประชุมครั้งที่2//2567  มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี  โดยกรรมการ 2เสียงเห็นควรให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปีนั้น 

ดร.ปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)แถลงภายหลังผลการประชุม กนง.เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 โดยระบุว่า  ความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยนั้น ต้องมองภาพรวมเศรษฐกิจต่อเนื่องถึงในปีหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นด้วย ซึ่งครึ่งปีหลังของปีนี้ยังมีความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก  เป็นปัจจัยที่อาจกระทบภาวะการเงินของประเทศด้วย 

รวมทั้งการลดหนี้ต่อจีดีพีของหนี้ครัวเรือน  การต้องติดตามการเข้าถึงสินเชื่อ ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมนั้น ไม่สามารถระบุได้   เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่มีความไม่แน่นอน

จุดสำคัญที่จะทำให้กนง.ลดดอกเบี้ยนั้น  คือ เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นภาพสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน  โดยข้อมูล 2เดือนแรกที่ออกมา มองไตรมาส1ปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโตมากกว่าไตรมาส4ปีที่แล้วแน่นอน  

โดยปีนี้ภาคการคลังน่าจะเร่งเบิกจ่ายกลับมาระดับหนึ่งและจะเป็นแรงส่งหลังไตรมาสสอง แต่ยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยเศรษฐกิจและผลจากมาตรการภาครัฐ โดยนโยบายการเงินช่วงนี้เอื้อต่อการขยายตัวเศรษฐกิจระยะยาว 

โดยนโยบายการเงินไม่ได้ฉุดรั้งเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่เป็นปัจจัยเชิงโครงสร้าง  ซึ่งจะมีมาตรการทางการคลังเข้ามาช่วย จึงไม่ใช่สถานการณ์ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการทำนโยบายการเงินและมาตรการทางการคลังพร้อมกันเช่นช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ทั้งมาตรการทางการคลังและมาตรการทางการเงินเข้าไปช่วยเต็มที่และต้องถอนคันเร่งเมื่อวิกฤติโควิตคลี่คลาย

ดร.ปิติกล่าวว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยจะกระทบพลวัตของการก่อหนี้ พร้อมยกตัวอย่าง  ถ้ามีการลดดอกเบี้ยลง 1.0% โดยช่วงแรกจะเห็นว่าหนี้จะเพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยสนับสนุนจีดีพีให้เพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาคือมูลหนี้คงค้างที่สูงขึ้นเรื่อยๆซึ่งจะสร้างภาระหนี้ คล้ายๆกินอำนาจซื้อของประชาชนทำให้เศรษฐกิจขยายตัวลดลงในระยะปานกลาง

" เป็นการชั่งน้ำหนักระยะสั้นกับระยะปานกลาง"  ที่ต้องมอง   ซึ่งจุดยืนของไทยปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว  ส่วนการลดดอกเบี้ยผลที่จะช่วยภาระหนี้ซึ่ง กรรมการ 2ท่านก็มองเรื่องนี้  แต่ถ้ามองในแง่ของเม็ดเงินภาพรวมปรับดอกเบี้ยจะกระทบรายใหญ่  แต่ถ้าเทียบสัดส่วนรายได้จะแตกต่างกันในการกระจายตัว  

“ การลดหนี้ต่อจีดีพีจะเป็นไปได้ขึ้นอยู่กับพลวัต  2ส่วนคือ การขยายตัวของหนี้ใหม่ ทำให้หนี้ต่อจีดีพีสูงขึ้น และรายได้เพิ่มขึ้นทำให้หนี้ต่อจีดีพีลดลง  สิ่งที่อยากเห็นคือ ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นสูงมากกว่านี้ หากมีแรงขับเคลื่อนจากการส่งออก  ประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้น คณะกรรมการไม่ได้มองอัตราดอกเบี้ยจะเป็นเครื่องมือหลักในการแก้ปัญหาหนี้ที่สูงแต่เป็นหนึ่งในพื้นฐานทำให้ปัญหาไม่แย่ลงในการไปก่อหนี้เพิ่มขึ้นมากเกินไป  แต่ต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะ การปรับโครงสร้างหนี้และให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาได้เต็มศักยภาพด้วย”

แบงก์ชาติลุ้น!แรงฉุดจากภาครัฐกลับเป็นแรงเสริมจีดีพีปี67โต2.6%ต่อปี

-ชั่งน้ำหนักภายใต้ข้อมูลใหม่ในการประชุมครั้งหน้า

ต่อข้อถามกรณีนายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้ธปท.ลดดอกเบี้ยนั้น ดร.ปิติกล่าวว่า  เป็นมุมมองที่เป็นเหตุเป็นผล  เช่น กรรมการ 2เสียง ก็เห็นควรให้ลดดอกเบี้ย  แต่มีหลายปัจจัยให้ต้องชั่งน้ำหนัก ทั้งระยะสั้นระยะยาว   รายเล็กรายใหญ่ หรือภาคต่างประเทศและในประเทศ 

ในการประชุมรอบนี้  คณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นพ้องกันโดยมองภาพเศรษฐกิจที่ประมาณการจะเติบโต 2.6%    ส่วนกรรมการอีก 2ท่านมองการใช้เครื่องมือดอกเบี้ยต่ำช่วยบรรเทาภาระหนี้  ซึ่งเป็นการ “ชั่งน้ำหนัก” และรอบต่อไปก็ต้องชั่งน้ำหนักอีกทีภายใต้ข้อมูลใหม่   และท่านนายกฯก็ชั่งน้ำหนักอีกแบบหนึ่ง

แบงก์ชาติลุ้น!แรงฉุดจากภาครัฐกลับเป็นแรงเสริมจีดีพีปี67โต2.6%ต่อปี

ดร.ปิติกล่าวว่า ปีนี้คาดการณ์จีดีพีปีนี้จะขยายตัว 2.6%  โดยคาดว่าตัวเลขของไตรมาส 1ที่กำลังจะออกการขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.0% ซึ่งเป็นการเร่งตัวของเศรษฐกิจไตรมาสต่อไตรมาส หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 4.0%ต่อปี แม้ตัวเลขรวมดูไม่สูงมาก แต่เป็นการขยายตัวที่ดี  ซึ่งสอดคล้องกับหลายสำนักเศรษฐกิจที่มองแรงส่งเศรษฐกิจใน 3ไตรมาสค่อนข้างดี โดยเฉพาะแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคยังมีต่อเนื่อง

 ส่วนแรงฉุดจากปีที่แล้วทั้งสินค้าคงคลังและการเบิกจ่ายภาครัฐจะทยอยหมดไปช่วงไตรมาสสองของปีนี้ โดยภาคการคลังช่วงไตรมาสแรกมีแรงฉุดค่อนข้างมาก  แต่หลังจากไตรมาสแรกจะมีการเร่งเบิกจ่ายซึ่งจะกลายเป็นแรงเสริมแทน   ส่วนภาคส่งออกยังต้องดูปัจจัยเชิงโครงสร้างต่อไป แนวโน้มการส่งออกยังขยายตัวค่อยเป็นค่อยไป 

ดร.ปิติ ดิษยทัต กล่าวอธิบายถึงพัฒนาการเศรษฐกิจปีที่แล้วว่า  ภาพรวมของพัฒนาการเศรษฐกิจไทยในปีที่แล้ว เป็นปีที่เศรษฐกิจไทยมีแรงส่งและแรงฉุดพร้อมกัน โดยแรงส่งเชิงวัฎจักรหรือเชิงระยะสั้น คือ การท่องเที่ยวกลับเข้ามาในประเทศสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชน  ส่วนแรงฉุดสำคัญ ได้แก่  สินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูง  โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายแต่โดยรวมทั้งปีมีแรงฉุดจากสินค้าคงคลัง 4.6%  , การเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า  (เป็นแรงฉุดชั่วคราว) 

ขณะเดียวกันแรงฉุดจากภาคส่งออกที่มาจากปัจจัยเชิงวัฎจักรเช่น ความต้องการของโลกที่ฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะ “Electronic Cycle” และความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและภาคส่งออกไทยที่ด้อยลง โดยรวมทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีที่แล้วขยายตัว 1.9%

“แรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจของปีที่แล้วมีแรงฉุดเชิงวัฎจักรระยะสั้นระดับหนึ่งในการที่จะค่อยๆทยอยหมดไปทำให้ปีนี้มีการขยายตัวในอัตราสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว ขยายตัวใกล้ศักยภาพ ตัวแรกที่เป็นพื้นฐานของกิจกรรมทางเศรษฐกิจคือ การบริโภคภาคเอกชนคาดว่าปีนี้จะเหลือโต 3.5%  จากปีที่แล้วเติบโต 7.1% ซึ่งจาก 2-3ปีที่ผ่านมาการบริโภคของไทยเร่งตัวค่อนข้างแรง  

ที่สำคัญ  ภายใต้การขยายตัว 7.1%ของการบริโภคภาคเอกชนปีที่แล้วนั้น เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก โดยจะเห็นว่า  80%ของการขยายตัวนั้น มาจากภาคบริการ ซึ่งน้ำหนักประมาณ 70%ของการขยายตัวปีที่แล้วมาจากผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลางและรายได้สูง 

ในช่วงหลังเห็นความถ่างขึ้นของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคระหว่างผู้มีรายได้สูงกับผู้ที่มีรายได้ไม่สูงนัก มีความแตกต่างกำลังซื้อและความเชื่อมั่น แต่ภาพรวมจะเห็นการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องใกล้เคียงกับศักยภาพ

ส่วน "ภาคท่องเที่ยว" ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญอีกตัว  โดย 2-3เดือนที่ผ่านมาทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามามากกว่าคาด โดยจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 10ล้านคนและมูลค่าการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในระดับดี  ซึ่งธปท.คาดว่าทั้งปี2567 จำนวนนักท่องเที่ยวจะเข้ามาประมาณ 35.5ล้านคนซึ่งสูงกว่าคาดการณ์เดิม(34.5ล้านคน) ประมาณ  1ล้านคนโดยนักท่องเที่ยวจากจีนเข้ามามากขึ้น และในแง่รายรับสูงขึ้น 1.4ล้านล้านบาท และปีหน้าประมาณ 1.6ล้านล้านบาท 

ส่วนภาคการส่งออกปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 2.0% โดยทะยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปทั้งด้วยปัจจัยเชิงวัฎจักรและเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งอยู่  ปัจจัยเชิงวัฎจักรจะค่อยๆหายไปคือ เรื่องอุปสงค์ต่างประแทศจะฟื้นขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้  แต่ภาพการฟื้นตัวของภาคการส่งออกจะมีความแตกต่างกัน ในมิติกลุ่มโปรดักต์และมิติกลุ่มผู้ประกอบการ

โดย 3 หมวดสินค้า (ฮาร์ตดิสไดร์ฟ  สิ่งทอ  ผลิตภํณฑ์เคมี) เป็นกลุ่มที่มีปัญหาเชิงโครงสร้างชัดเจน อีกทั้งอุปสงค์โลกลดลง ความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงซึ่งเป็นช่วงที่ภาคส่งออกอยู่ในช่วงปรับตัวและต้องติดตามต่อไปในอนาคต

ดร.ปิติกล่าวว่า ส่วนแรงฉุดเชิงวัฎจักรที่สำคัญงบลงทุนที่ถูกกระทบมากที่สุด มาจาก หลุมอากาศทางการคลัง เพราะงบประมาณล่าช้าทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจล้าช้า เมื่อเทียบไตรมาส4ปีทีแล้วกับไตรมาส 1ปีนี้

พบว่า เม็ดเงินหายไปประมาณ 0.8%ของจีดีพี  หรือประมาณ 1.4แสนล้านบาท  ถ้าเทียบเม็ดเงินที่ขจัดผลของเงินเฟ้อออกไปแล้วไตรมาส4เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนหน้าลดลง 20.1% และไตรมาสที่1ปีนี้ ลดลงประมาณ 39.6% แต่ข่าวดีเมื่องบประมาณผ่านไปแล้วในไตรมาสที่สอง ช่วง  3ไตรมาสที่เหลือน่าจะเร่งเบิกจ่ายภาครัฐเข้ามาเป็นแรงสนับสนุนเศรษฐกิจไทยพอสมควร

ในแง่ของเงินเฟ้อนั้นผ่านจุดต่ำสุดเดือนต.ค.ปีที่แล้ว หลังจากนั้นเงินเฟ้อทะยอยติดลบน้อยลง  เหตุผลหลักของเงินเฟ้อติดลบมาจากมาตรการพลังงาน  หากขจัดผลของมาตรการพลังงาน พบว่าตัวเลขเงินเฟ้อยังเป็นบวกอยู่(มี.ค.0.2% ก.พ. 0.5% ม.ค. 0.1%  ธ.ค.0.2%  พ.ย.0.7%  ต.ค.0.9%)

มองไปข้างหน้าแนวโน้มทั้งเงินเฟ้อพื้นฐานและเงินเฟ้อทั่วไปจะค่อยๆเพิ่มขึ้นกลับเข้าสู่เป้าหมายในปลายปีนี้   โดยเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.6% และปีหน้า 1.3% และเงินเฟ้อพื้นฐาน 0.6% และ 0.9%ตามลำดับ