สรุปสิทธิลดหย่อนภาษี 2566 เพื่อยื่นภาษีต้นปี 2567 มีอะไรบ้างพร้อมเงื่อนไข

12 พ.ย. 2566 | 07:09 น.

เช็กลิสต์ค่าลดหย่อนภาษีปี 2566 เพื่อยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในต้นปี 2567 สามารถหักลดหย่อนภาษีได้เท่าไร มีเงื่อนไขอย่างไร สรุปครบที่นี่

มนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี ต้องเตรียมตัวยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2566 ซึ่งกรมสรรพากรเปิดให้ยื่นภาษีได้กรณีแบบเอกสาร หรือกระดาษ ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2567 หรือจะยื่นผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.th ได้ถึง 8 เมษายน 2567

สิทธิลดหย่อนภาษีปี 2566 มีอะไรบ้าง

สรุปสิทธิลดหย่อนภาษี 2566 เพื่อยื่นภาษีต้นปี 2567 มีอะไรบ้างพร้อมเงื่อนไข

กลุ่มค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว

1.ค่าลดหย่อนส่วนตัว

กฎหมายกำหนดให้ผู้เสียภาษีสามารถใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวได้ 60,000 บาท โดยผู้เสียภาษีจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนนี้ได้ทันทีที่ทำการยื่นแบบแสดงภาษีเงินได้ประจำปี (ภ.ง.ด. 90, ภ.ง.ด. 91)

2. ค่าลดหย่อนคู่สมรส กฎหมายกำหนดให้คู่สมรสสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 60,000 บาท โดยมีเงื่อนไขคือ

  • ต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนตามกฎหมายกำหนด
  • คู่สมรส (สามีหรือภรรยา) ต้องเป็นผู้ไม่มีเงินได้ หรือรายได้ในปีนั้นๆ
  • ในกรณีที่สามีและภรรยามีเงินได้ทั้งคู่ กฎหมายอนุญาตให้ ยื่นภาษีรวมกันเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีคู่สมรสได้

3.ค่าลดหย่อนบุตร  กฎหมายกำหนดเงื่อนไขการใช้สิทธิค่าลดหย่อนบุตร 2 ข้อ ดังนี้

- ค่าลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมาย

  • สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมายคนละ 30,000 บาท และ
  • หากมีบุตรคนที่ 2 ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบุตรได้คนละ 60,000 บาท

- ค่าลดหย่อนบุตรบุญธรรม

สำหรับผู้ที่มีบุตรบุญธรรม หรือมีทั้งบุตรบุญธรรมและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบุตรได้สูงสุด 3 คน และจะต้องเป็นบุตรที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

 

เงื่อนไขการใช้สิทธิค่าลดหย่อนบุตร

  • บุตรจะต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี
  • ในกรณีที่บุตรมีอายุ 21-25 ปี บุตรจะต้องศึกษาอยู่ในระดับปวส. ขึ้นไป
  • บุตรจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี (ยกเว้นกรณีเงินปันผล)

4. ค่าลดหย่อนบิดามารดา

- ค่าลดหย่อนบิดามารดาตัวเอง กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่เลี้ยงดูพ่อแม่ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนพ่อแม่ได้คนละ 30,000 บาท โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ

  • ต้องเป็นพ่อแม่ที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือพ่อแม่ที่แท้จริงเท่านั้น
  • พ่อ-แม่จะต้องมีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป
  • พ่อ-แม่ จะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี

หมายเหตุ : การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบิดามารดา สำหรับคนมีพี่น้องต้องตกลงกันว่า ใครจะเป็นผู้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีพ่อแม่ เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ ค่าลดหย่อนบิดามารดา ไม่สามารถยื่นขอใช้สิทธิซ้ำกันได้

- ค่าลดหย่อนบิดามารดาคู่สมรส ในกรณีที่คุณดูแลพ่อแม่คู่สมรส กฎหมายกำหนดให้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีพ่อแม่คู่สมรสได้คนละ 30,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่า

  • จะต้องเป็นพ่อแม่ที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือพ่อแม่ที่แท้จริงเท่านั้น
  • พ่อ-แม่ จะต้องมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
  • พ่อ-แม่ จะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี
  • คู่สมรสต้องไม่มีรายได้ และครอบครัวฝั่งคู่สมรสจะต้องไม่มีใครใช้สิทธิลดหย่อนพ่อแม่
  • ต้องใช้หนังสือรับรองการหักค่าลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา (ลย.03) พร้อมให้พ่อแม่เซ็นชื่อกำกับเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษีด้วย

 

5 ค่าลดหย่อนผู้พิการ หรือทุพพลภาพ

หากคุณเป็นผู้ดูแลหรืออุปการะผู้พิการหรือทุพพลภาพ จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้คนละ 60,000 บาท โดยมีเอกสารที่ต้องใช้เป็นหลักฐานคือ

  • บัตรประจำตัวผู้พิการ หรือใบรับรองแพทย์
  • เอกสารรับรองการเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้ทุพพลภาพ (ลย.04)

6. ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร

ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตรสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท และจะต้องเป็นค่าฝากครรภ์และคลอดบุตรที่จ่ายตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้

  • ต้องเป็นค่าฝากครรภ์ หรือคลอดบุตร ที่จ่ายให้กับสถานพยาบาลของรัฐและเอกชน
  • ในกรณีที่ท้องปีนี้ คลอดปีหน้า สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามปีที่จ่ายจริง แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 60,000 บาท
  • ในกรณีที่ต้องยื่นภาษีทั้งสามีและภรรยา กฎหมายกำหนดให้ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตรเป็นของภรรยา แต่หากภรรยาไม่มีรายได้ในปีภาษีนั้นๆ สามีจึงจะสามารถใช้สิทธิฝากครรภ์และคลอดบุตรได้ใช้ใบเสร็จรับเงิน และใบรับรองแพทย์เป็นหลักฐานในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี

กลุ่มประกันสุขภาพและประกันชีวิต

1.ประกันชีวิตลดหย่อนภาษี

ในกรณีที่คุณจ่ายเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป หรือ เงินฝากแบบมีประกันชีวิตในช่วงปีที่ผ่านมา สามารถนำค่าเบี้ยประกันชีวิตที่จ่ายตลอดทั้งปีมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยจะต้องเป็นกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป ที่ทำกับบริษัทประกันในประเทศไทยเท่านั้น

2.ประกันสุขภาพลดหย่อนภาษี ค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้มี 2 กรณี คือ

สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่จ่ายมาตลอดทั้งปี ได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับค่าเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป หรือเงินฝากแบบมีประกันชีวิต จะต้องไม่เกิน 100,000 บาท และจะต้องเป็นประกันสุขภาพในกลุ่มต่อไปนี้

  • ประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาล เนื่องจากอาการเจ็บป่วยและอาการบาดเจ็บ ชดเชยทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการเจ็บป่วยหรืออาการบาดเจ็บ
  • ประกันอุบัติเหตุ ที่ให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก
  • ประกันสุขภาพโรคร้ายแรง (Critical illnesses)
  • ประกันสุขภาพระยะยาว (Long Term Care)

3.ค่าเบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา

สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท และพ่อแม่จะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องให้พ่อแม่มีอายุครบ 60 ปี

4.ประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนภาษี

ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และสามารถใช้ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 200,000 บาท และจะต้องเป็นประกันบำนาญที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ทำและจะต้องทำกับบริษัทประกันในประเทศไทยเท่านั้น

5.ค่าลดหย่อนประกันสังคม

อัตราเงินสมทบประกันสังคม ผู้ประกันตนมาตรา 33 สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาทต่อปี  ( ตามอัตราสมทบเงินประกันสังคมที่ 5% คำนวณจากเพดานที่ 15,000 บาท หรือสูงสุดไม่เกินเดือนละ 750 บาท )

กลุ่มการออมและลงทุน 

1.กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (กองทุน Thai ESG)  ลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท  (ค่าลดหย่อนภาษี กองทุน Thai ESG สูงสุด 100,000 บาท ได้รับเพิ่มนอกเหนือจากวงเงินลดหย่อนภาษีการออมเพื่อเกษียณ 500,000 บาท )

2.กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)

สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องจ่ายภาษี ตามที่จ่ายจริงแต่เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 และมีเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติมดังนี้

  • ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก และสามารถขายได้ตอนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
  • ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อกองทุน RMF แต่จะต้องทำการซื้อต่อเนื่องทุกปี
  • สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์ใหม่ได้ในปีที่เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

3. กองทุนรวมเพื่อการออม SSF

สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องจ่ายภาษี ตามที่จ่ายจริงแต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 และมีเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติมดังนี้

  • ต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อกองทุน
  • ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อกองทุน SSF และไม่ต้องซื้อกองทุนต่อเนื่องทุกปี
  • สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ภายในปี 2563 - 2567 อ่านเพิ่มคลิกที่นี่

4.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  (PVD)/ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน

  • ใช้ลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ที่ต้องจ่ายภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

5.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)  

  • ใช้ลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องจ่ายภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

6.กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)

  • สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกินปีละ 30,000 บาท

อนึ่งเมื่อรวมกับ"กองทุนเพื่อการเกษียณ"  ข้อ 2 ถึงข้อ 6 ( ได้แก่ กองทุนออมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMF, กองทุนรวมเพื่อการออม SSF, กบข, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) , กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และ เบี้ยประกันแบบบำนาญ รวมกันแล้วจะต้องลดหย่อนภาษีไม่เกิน 500,000 บาท )

กลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ

1. ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย ลดหย่อนภาษี

สามารถนำรายจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้บ้านในรอบปี 2566 มาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ในกรณีที่ซื้อแบบกู้ร่วม สิทธิลดหย่อนภาษีจะเฉลี่ยตามจำนวนคนร่วมกู้ โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ

  • สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีกับการซื้อที่อยู่อาศัยกี่หลังก็ได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท
  • ต้องใช้เอกสารรับรองการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่เจ้าหนี้ออกให้ เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษีด้วย

2.ช้อปดีมีคืน 2566 ลดหย่อนภาษี

สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือบริการภายในประเทศ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2566 มาใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี 2566 ได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 40,000 บาท โดยแบ่งการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเป็น 2 ส่วนคือ

1. ค่าสินค้าหรือบริการ 30,000 บาทแรก สามารถใช้ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบแบบกระดาษ หรือ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษี

2. ค่าสินค้าหรือบริการ 10,000 บาทที่เหลือ ต้องใช้ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษีเท่านั้น (สามารถตรวจสอบ รายชื่อผู้ประกอบการหรือร้านค้าที่สามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร https://etax.rd.go.th)

และมีเงื่อนไขที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ คือ

  • จะต้องซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าภายในประเทศ ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
  • ต้องใช้ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษี
  • ในกรณีที่ซื้อหนังสือหรือ E-Book สามารถใช้ใบเสร็จรับเงิน หรือหลักฐานอื่นๆ แทนได้
  • รวมบิลได้แต่ต้องไม่เกิน 40,000 บาท ต่อคน
  • ในกรณีที่ซื้อสินค้าหรือบริการแบบผ่อนชำระ (รวมถึงโปรผ่อน 0%) สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวนของราคาสินค้าหรือบริการนั้นๆ แต่ไม่เกิน 40,000 บาท เช็ครายละเอียด คลิกที่นี่

3.เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise ( วิสาหกิจเพื่อสังคม) สำหรับผู้ที่ลงทุนในหุ้นหรือธุรกิจ Social Enterprise ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป สามารถนำเงินลงทุนไปเป็นค่าลดหย่อนภาษี โดยลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

กลุ่มเงินบริจาค

เงินบริจาคลดหย่อนภาษี ตามที่กฎหมายกำหนดประกอบไปด้วย

1.บริจาคลดหย่อนภาษี 2 เท่า กรณีบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา พัฒนาสังคม และโรงพยาบาลรัฐ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของเงินที่บริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน 

2.บริจาคลดหย่อนภาษีทั่วไป สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหัก

3.บริจาคพรรคการเมือง ลดหย่อนภาษี สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท