6 แบงก์ชาติ ตั้ง “สว็อปไลน์” สกุลเงินดอลลาร์ เสริมสภาพคล่องระบบการเงินโลก

20 มี.ค. 2566 | 08:43 น.

6 ธนาคารกลางของประเทศใหญ่ ซึ่งรวมทั้งสหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่น และธนาคารกลางยุโรป ประกาศความร่วมมือเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับระบบการเงินโลกด้วยการตั้ง “swap line” ในสกุลเงินดอลลาร์

 

6 ธนาคารกลาง ดังกล่าว ประกอบด้วย ธนาคารแห่งชาติอังกฤษ ธนาคารกลางแห่งญี่ปุ่น ธนาคารแห่งแคนาดา ธนาคารกลางยุโรป(ECB) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารแห่งชาติสวิส ได้ประกาศความร่วมมือเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับระบบการเงินโลกด้วยการตั้ง “swap line” สกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งจะเริ่มใช้ได้ทันทีตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคมนี้เป็นต้นไป

ความร่วมมือครั้งนี้ มีขึ้นเพื่อเป็นการให้การสนับสนุนที่สำคัญในการบรรเทาความตึงเครียดของตลาดการเงินทั่วโลก และเพื่อลดผลกระทบต่อการจัดหาสินเชื่อให้กับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ โดยภายใต้ความร่วมมือ ธนาคารที่ต้องการหาเงินกู้จะสามารถไปยังธนาคารแห่งชาติของตนที่เข้าร่วมในโครงการนี้ เพื่อขอเงินกู้ได้โดยตรงซึ่งลักษณะของการให้การกู้ยืมจะเป็นเช่นเดียวกันในประเทศทั้งหมด โดยธนาคารสามารถที่จะเข้าถึงแหล่งเงินกู้นี้ได้ทุกวัน

ข้อตกลงลักษณะดังกล่าวเคยมีการนำมาใช้แล้วในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกเมื่อปี 2551 และในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งธนาคารแห่งชาติอังกฤษระบุว่า จะเปิดดำเนินการไปจนถึงอย่างน้อยสิ้นเดือนเมษายนนี้

การประกาศดังกล่าวของ 6 ธนาคารกลาง มีขึ้นหลังจากที่ธนาคารยูบีเอส (UBS) เพิ่งจะประกาศแผนการควบรวมกิจการกับธนาคารเครดิตสวิส (Credit Suisse) ภายใต้การจัดการของหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของสวิตเซอร์แลนด์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (19 มี.ค.) เพื่อช่วยลดผลกระทบจากความหวั่นวิตกของประชาชนชนและนักลงทุนที่เกรงว่าวิกฤตธนาคารที่เริ่มขึ้นจากการที่ 2 ธนาคารในสหรัฐถูกสั่งปิด จะไม่ลุกลามเป็นโดมิโนไปยังประเทศอื่นๆ

นายไฟซาล อิสลาม บรรณาธิการฝ่ายเศรษฐกิจของสำนักข่าวบีบีซี สื่อใหญ่ของอังกฤษ วิเคราะห์ว่า การประกาศประสานความร่วมมือกันของธนาคารกลางที่ใหญ่ที่สุดในโลก 6 แห่งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าความวิตกกังวลโดยทั่วไปเกี่ยวกับ “ความเปราะบาง” ของระบบธนาคารทั่วโลกนั้น มีความร้ายแรงเพียงใดและเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการล่มสลายของธนาคารยักษ์ใหญ่อย่างเครดิตสวิส ซึ่งกลายเป็นอดีตไปแล้วนั้น เพียงพอที่จะจุดประกายความวิตกกังวลไปทั่วได้อย่างไร

นายอิสลามให้ความเห็นว่า ความหวาดกลัวไม่ได้เกี่ยวกับผลกระทบโดยตรงของปัญหาที่เกิดขึ้นกับธนาคารเครดิตสวิสหรือธนาคารซิลิคอนวัลเลย์ แต่เป็นเรื่องที่จะส่งผลกระทบกับสถาบันการเงินอื่นๆ บางแห่ง อาทิ เงินฝากที่ไม่มีหลักประกันที่จะไหลออกไปสู่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ผ่านระบบออนไลน์โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใครไปที่ธนาคารเสียด้วยซ้ำ และยังมีอิทธิพลจากความเห็นต่างๆ บนโซเชียลมีเดีย รวมถึงการตอบสนองที่ไม่แน่นอนจากหน่วยงานกำกับดูแลบางแห่งอีกด้วย

นอกจากนี้ เขายังกล่าวสรุปว่า ภาพรวมใหญ่ของปัญหาที่เกิดก็คือ อัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมักจะกลายเป็นระเบิดเวลาของสถาบันการเงินบางแห่ง ประกอบกับความไม่ชัดเจนบางประการของระบบการเงินด้วย