4 โบรก เปิดโผหุ้นเด่น รับแรงหนุน นายกฯ ประกาศยุบสภา

20 มี.ค. 2566 | 07:47 น.

โบรก 4 ราย เปิดกลุ่มหุ้นไทยรับอานิสงส์ นายกฯ ประกาศยุบสภา อสังหาฯ ค้าปลีก การเงิน คาดดีดตัวรับนโยบายพรรคการเมือง ขณะทุนต่างชาติชะลอไหลออกจับตาประชุมเฟด

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย กล่าวว่า ล่าสุดรัฐบาลได้เตรียมแผนประกาศยุบสภาเบื้องต้นนั้น เชื่อว่าจะเกิดภายในสัปดาห์นี้ โดยการยุบสภาเปรียบเสมือนกับการทำให้ความเป็นสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง

ทั้งนี้ตามกฎหมายแล้วหลังจากประกาศยุบสภาจำเป็นต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 – 60 วัน ดังนั้นหากรัฐบาลตัดสินใจประกาศยุบสภาสัปดาห์หน้า การเลือกตั้งไทยอย่างไม่เป็นทางการจะไม่เกินไปกว่าปลายเดือน พ.ค. หรือเร็วสุดช่วงต้นเดือน พ.ค.

ที่ผ่านมาสถิติการเลือกตั้งปี 62 พบว่าก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน SET Index ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 3.5% โดยกลุ่มที่โดดเด่นสุด ได้แก่ ค้าปลีก อาหาร และรับเหมาก่อสร้าง

ขณะที่เชิงปัจจัยพื้นฐานพบว่ารายได้ในกลุ่มค้าปลีก BJC, CPALL, COM7, HMPRO, DOHOME, GLOBAL

เชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะกลางถึงยาวยังเน้นสะสมเช่นเดิมเน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำอย่าง ADVANC, AOT, CPALL, HMPRO, MINT

หุ้นเด่นแนะนำ

KBANK แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 170.00 บาท มีโอกาสที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญจะลดลงหลังการระบายงบดุลสิ้นสุดลงในปี 2023 คาดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญจะค่อย ๆ ลดลง ทำให้มองว่ากำไรสุทธิ จะพลิกเป็นบวกระดับ 16% ในปี 66 และ 15% ในปี 67-68

CPALL แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 72.00 บาท โดยเป็นหุ้นเด่นเหนือตัวอื่น เพราะคาดว่าจะมี SSSG ที่สูงสุดของกลุ่มในช่วงครึ่งแรกปี 2023 หนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัว และการเลือกตั้งในไทย

ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากความไม่แน่นอนของตลาดที่เพิ่มขึ้น จากปัญหาภาคธนาคารทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป, ทิศทางดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ไม่ชัดเจน และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย

แนะนำนักลงทุนเพิ่มการถือครองเงินสดบางส่วน ขณะที่หุ้นเชิงรับอิงเศรษฐกิจในประเทศ และหุ้นปันผลสูงน่าจะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด (Outperform) แนะนำ ADVANC, BDMS, BEM, BTS, EGCO

ส่วนหุ้นปันผลที่ให้ Div. Yield มากกว่า 4% รอขึ้น XD ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า โดดเด่นประกอบด้วย AP, BAM, NYT, SCB, ICHI, TFG  สำหรับพอร์ตการลงทุน แนะนำทยอยสะสมหุ้นบลูชิพอย่าง AOT, BBL, CPALL, MINT

สำหรับการเก็งกำไร และการเทรดดิ้งระยะสั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ได้รับความเสี่ยงได้สูง แต่ต้องเคร่งครัดวินัยการลงทุน แนะนำลงทุนแบบจำกัดวงเงิน เน้นการตั้งรับในช่วงตลาดผันผวน

ธีมหุ้นน่าสนใจในระยะสั้น 

หุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวลง AAV, EGCO, GPSC, GULF, PRM, TASCO, TOA

หุ้นที่ประมาณการกำไรถูกปรับขึ้นสวนทางหุ้นที่ปรับตัวลง เปิด Upside กว้างขึ้น AH, ERW, ZEN

หุ้นพื้นฐานแกร่งแต่ราคาลงหนักเกินไปมีลุ้นรีบาวด์ทางเทคนิค AWC, KBANK, TQM

หุ้นเชื่อมโยงการเลือกตั้ง AEONTS, KTC, PLANB, SC, STEC

ด้าน บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ปัจจัยที่จะมีผลช่วงนี้ และมีผลต่อการลงทุน โดยประเด็นในประเทศคงต้องติดตาม การประกาศยุบสภา หลังเมื่อวันศุกร์ นายกรัฐมนตรีฯ ประกาศยุบสภา ซึ่งมีจะมีผลวันนี้ และภายใน 60 วันหลังจากนี้จะเห็นการจัดการเลือกตั้งใน เดือน พ.ค. 66

โดยรวมถือว่าตรงกับที่คาดกันในช่วงก่อนหน้าโดย หากอิงจากสถิติในอดีต อาทิ ในปี 2543, 2549, 2554 และ 2556 โดย ในช่วง 1 เดือนก่อนเลือกตั้ง SET Index จะปรับขึ้นเฉลี่ย 3.82%

ทำให้ประเมินว่าหลังจากนี้กระแสหุ้นเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งคาดจะมีกระแสบวก อาทิ กลุ่มอสังหา SC, SIRI กลุ่มค้าปลีก อาทิ CPALL กลุ่มการเงิน อาทิ AEONTS ฯลฯ

ส่วนปัจจัยต่างประเทศยังคงเป็น การประชุมของทางธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ในคืนวันพุธ ที่ต้องติดตามการประชุม FOMC แนะนำให้ติดตามการส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยในอนาคตอย่างไรต่อไป หลังเกิดเหตุ Bank run ในสหรัฐฯ

ขณะที่เงินเฟ้อยังทรงตัวสูงจากหมวดบริการ นอกจากนี้ต้องจับตาประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ โดยตัวเลขคาดการณ์เมื่อเดือนธันวาคมของ GDP ปี 2023 อยู่ที่ +0.5% และ Core PCE อยู่ที่ 3.5%

ส่วนมุมมองของ บล.เอเซียพลัส ได้เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ ว่า สัปดาห์นี้คาดว่ากระแสเงินทุนจากต่างชาติ อาจจะชะลอการไหลออกจากตลาดหุ้นไทยหลังสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกขายสุทธิ 283 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยปัจจัยที่ต้องติดตามในรอบสัปดาห์นี้ ประกอบด้วยกรณี UBS เข้าซื้อกิจการเครดิต สวิส (Credit Suisse) ช่วยสร้าง Sentiment ที่ดีต่อตลาดหุ้นในช่วงสั้น แต่ยังต้องติดตามต่อว่าจะมีธนาคารพาณิชย์ อื่น ๆ ล้มตามอีกหรือไม่

ปัจจัยต่อมาคือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ เฟด (Fed) จะขึ้นดอกเบี้ยรอบ 22 มี.ค.66 เพียง 0.25% เป็น 5% และอาจทยอยลดระดับดอกเบี้ยลงในช่วงกลางปีนี้ เดิมคาดเพดานดอกเบี้ยในปีนี้อยู่ที่ 5.75% ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยที่น้อยลง

ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ต่างชาติมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยล่าสุดอยู่ที่ 34.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นกว่า 3.1% จากต้นเดือน ม.ค. 66 สาเหตุหลักได้แรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า

รวมทั้งการเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา จะทำให้เห็นนโยบายเด็ด ๆ ของแต่ละพรรคการเมืองเพิ่มเติม ในช่วงโค้งแรกของการหาเสียงหลังยุบสภา จะส่งผลดีต่อหุ้น COMM, FIN, BANK, MEDIA,FOOD เป็นหลัก และบางพรรคเริ่มมีการเน้นเรื่อง รถ EV, Soft Power, การใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนในการบริหารทำธุรกิจกับประชาชนมากขึ้น 

สำหรับหุ้นเด่นการเมืองแนะนำ

CRC, CPALL, BJC, MTC, SAWAD, THANI, KBANK, BBL, BEC, PLANB, CBG, SAPPE, OSP และ SNNP