นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยภายหลังกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานไทยแลนด์โฟกัส 2022 ที่มีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอกชนกว่า 120 บริษัทเข้าร่วม โดยระบุว่า นักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นในไทย ซึ่งตนและผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ยืนยันว่า ไทยยังมีเสถียรภาพทางการเงิน และยังมีความมั่นคงทางด้านการคลัง
โดยหนี้สาธารณะไทยยังอยู่ในกรอบเพดานหนี้ที่กำหนดไว้ แม้จะมีการขยายเพดานจากไม่เกิน 60% เป็น 70% ของ GDP ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อขยายพื้นที่ในการดำเนินนโยบาย ซึ่งปัจจุบันหนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ที่ 61% ของ GDP โดยหากตัวเลขเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี ก็จะทำให้ตัวเลขหนี้ฯ ต่อ GDP ปรับลดลงอีก
นายอาคม กล่าวอีกว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ โครงการที่ยังต้องลงทุน ซึ่งต้องใช้เงินกู้ในต่างประเทศ โดยขณะนี้เราก็ได้เตรียมความพร้อม และยังอยู่ในกรอบการก่อหนี้ต่างประเทศ ที่ไม่เกิน 10% ของหนี้สาธารณะรวม ซึ่งรัฐบาลยังสามารถดำเนินการได้ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนหนี้ต่างประเทศ อยู่ที่ 1.79% ของหนี้สาธารณะรวม
“การชำระหนี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของรัฐวิสาหกิจ ที่รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งจะดำเนินการชำระหนี้เอง และในส่วนของหนี้รัฐบาล จะขึ้นอยู่ที่งบประมาณฯ ดังนั้นจะต้องวางแผนล่วงหน้าในการชำระหนี้ ซึ่งจะต้องตั้งงบเพื่อของบประมาณ ตามกรอบกฎหมายภายใต้ พ.ร.บ.งบประมาณฯ” นายอาคม กล่าว
โดยนายอาคม ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในปี 65 โดยระบุว่า ยังมีโอกาสเติบโตได้ถึง 3.5% โดยมี 4 ปัจจัยสนับสนุน ประกอบด้วย 1.การท่องเที่ยว คาดชาวต่างชาติจะเดินทางเข้าไทย 8-10 ล้านคนในปีนี้ คิดเป็น 1 ใน 4 จากช่วงก่อนโควิด
2.การส่งออก โดยช่วง 6 เดือนแรก ขยายตัว 12% สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า โดยมีสินค้าเกษตร อาหารเป็นโอกาสสำคัญในการส่งออก ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าจะเติบโตได้ที่ 10%
3.การบริโภค และการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยมองว่าตัวเลขเงินเฟ้อจะขึ้นสูงสุดในช่วงไตรมาส 3/65 และหลังจากนั้นจะค่อยๆทยอยปรับลดลง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการเข้าไปดูแลแล้ว ล่าสุดคือโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ซึ่งถือเป็นโครงการที่กระตุ้นกำลังซื้อฐานรากอย่างแท้จริง รวมทั้งยังมีมาตรการดูแลผลกระทบจากราคาพลังงานออกมาอย่างต่อเนื่อง
4.ด้านการลงทุน ซึ่งขณะนี้งบประมาณรายจ่ายปี 66 ผ่านแล้วและจะเริ่มใช้วันที่ 1 ต.ค. 65 ซึ่งในช่วงไตรมาสแรก (ต.ค.-ธ.ค.65) คลังได้สั่งให้ส่วนราชการ เร่งรัดผลักดันงบลงทุนในโครงการลงทุนขนาดเล็ก ด้วยการประมูลจัดซื้อจัดจ้างไปพลางก่อน
เพื่อให้ลงนามทันเดือน ต.ค. เพื่อให้เงินกระจายลงสู่ระบบอย่างเร็ว ไม่ไปกระจุกตัวในไตรมาสสุดท้ายเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งตั้งเป้าในไตรมาสแรกปีงบ 66 จะเบิกจ่ายได้มากกว่าปกติ อยู่ที่ 25% ของงบทั้งปี
นอกจากนี้ รัฐบาลจะเร่งรัดโครงการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) หลังได้ลงนามสัญญาไปแล้วหลายโครงการ โดยมองว่าขณะนี้เศรษฐกิจ และภูมิภาคอาเซียน ยังมีความเข้มแข็ง และเป็นจุดสนใจน่าลงทุนเมื่อเทียบกับทั่วโลกที่มีความเสี่ยงจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีการค้า (เอฟทีเอ)
ส่วนกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะตีความอายุการดำรงตำแหน่งของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในสายตานักลงทุนต่างชาติหรือไม่นั้น
นายอาคม กล่าวว่า ในโครงการลงทุนจะเป็นโครงการที่มีข้อผูกพันอยู่แล้ว ขณะที่ในเรื่องของเศรษฐกิจก็ดำเนินการไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดการลงทุน การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและมีความต่อเนื่อง