"ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ"คาดฉุดกำไรบจ.ปีหน้าลด 2-5% เปิด 5 อุตฯกระทบต้นทุนมากสุด

10 ส.ค. 2565 | 05:07 น.

ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5-8% กระทบต้นทุนอุตสาหกรรมแต่ละกลุ่มอย่างไร "บล.ไทยพาณิชย์" ประเมินฉุดกำไร บจ.ปี 66 ลดลงราว 2-5% "เอเซียพลัส" ยก 5 กลุ่มอุตสาหกรรม กระทบต้นทุนหนักสุด ด้าน"เมย์แบงก์"มองป็นบวกกับ"ค้าปลีก-การเงิน" จากกำลังซื้อที่ฟื้น

จากการที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า คณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) จะพิจารณาอัตราค่าจ้างในเดือน ส.ค นี้ หลังสรุปตัวเลขจาก 77 จังหวัดเสร็จสิ้นตั้งแต่เดือน ก.ค ที่ผ่านมา เบื้องต้นคาดจะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ ราว 5-8% อิงอัตราเงินเฟ้อ โดยเตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในต้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 65

 

เรื่องนี้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ ระบุว่าประเด็นที่กระทรวงแรงงานจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่่า 5-8% เบื้องต้นจากการศึกษาผลกระทบของการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่มีต่อประมาณการกำไรปี 2566 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) พบว่า หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5-10% จะกระทบต่อกำไรสุทธิของตลาดลดลงราว 2-5% 

 

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดจะได้รับผลกระทบเชิงลบมากสุด นำโดย กลุ่มขนส่งพัสดุ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (กระทบกำไรลงราว 6-12%) และกลุ่มอาหาร (กระทบกำไรลงราว 10%)

 

ด้านฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดกระทรวงแรงงาน จะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในช่วงไตรมาส 4/65 ช่วง 5 – 8% ซึ่งหากไปดูข้อมูลในอดีตในช่วง 12 – 13 ปีที่ผ่านมา พบว่า กระทรวงแรงงานมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมาแล้ว 6 ครั้ง หากไม่นับปี 2554 มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในจังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ในช่วง 3 – 15 บาท/วัน หรือมีการปรับขึ้น 1% - 5% เป็นต้น แสดงว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2565 นี้ถือว่า อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับในอดีต

ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ ลองทำการศึกษาในเชิงปริมาณ หาพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของหุ้นแต่ละเซ็กเตอร์ในช่วงเวลา 1 เดือน หลังมีการประกาศขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ ทั้ง 6 รอบที่ผ่านมา พบว่ากระทบต่อ SET Index จำกัด โดย SET ยังปรับขึ้นได้เฉลี่ย +0.9% แต่มีความน่าจะเป็นให้ผลตอบแทนเป็นบวก 50% และยังมีกลุ่มหุ้นที่ Outperform ตลาด ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากกำลังซื้อเพิ่มขึ้น อาทิ HELTH +7.2%, FIN+6.3%, INSUR+4.5%,TOURISM +2.8% 

 

ในทางตรงกันข้ามกลุ่มหุ้นที่ Underperform ตลาด และต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกระทบต่อกำไรชัด อาทิ CONS -1.0% ซึ่งกลุ่มหุ้นดังกล่าว น่าจะนำไปปรับใช้ในการปรับพอร์ต เพื่อรับมือกับประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในระยะถัดไปได้

 

ASPS ยก 5 อุตฯได้รับผลกระทบต้นทุน

 

ฝ่ายวิจัยฯ ยังได้รวบรวมผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยอุตสาหกรรมที่น่าจะเสียประโยชน์ คือ อุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างต้นทุนแรงงานในสัดส่วนสูง ได้แก่อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง เกษตรอาหาร พัฒนาที่อยู่อาศัย  ชิ้นส่วน ค้าปลีก  โดยมีรายละเอียด ดังนี้

 

1 อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง : เป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานจำนวนมาก ทั้งรูปแบบการจ้างงานโดยตรงและการจ้างผ่านผู้รับเหมาช่วง โดยต้นทุนค่าแรงที่อิงกับค่าแรงขั้นต่ำจะอยู่ในส่วนของคนงานก่อสร้างที่มีทั้งการจ้างโดยตรงและการจ้างผ่านผู้รับเหมาช่วง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 20-30% ของต้นทุนทั้งหมด โดยเงินที่จ้างผ่านผู้รับเหมาช่วงจะมีการรวมทั้งค่าแรงงานและค่าวัสดุก่อสร้างเข้าไปด้วย หากตั้งสมมุติฐานว่าค่าแรงอย่างเดียวคิดเป็นสัดส่วน 50% ของค่าจ้างเหมาช่วง เท่ากับว่าต้นทุนที่อิงกับค่าแรงขั้นต่ำน่าจะมีสัดส่วนประมาณ 10-15% ของต้นทุนทั้งหมด 
 

ดังนั้นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุก 1% จะกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้าง 0.10-0.15% แต่ในทางปฏิบัติ หากมีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจริงบริษัทรับเหมาก่อสร้างและบริษัทที่รับเหมาช่วง จะแบ่งกันรับภาระค่าแรงที่เพิ่มขึ้นไปคนละส่วน อีกทั้งบริษัทรับเหมางานภาครัฐ จะมีเงินชดเชยจากค่า K ซึ่งมี เงินเฟ้อ เป็นองค์ประกอบในการคำนวณด้วย ดังนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุก1% ฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างไม่เกิน 0.1%

 

2,อุตสาหกรรมเกษตร-อาหาร : มีโครงสร้างค่าแรง (DL) ในไทยเฉลี่ยราว 1.5-8% ของต้นทุนรวม แม้ว่าปัจจุบันผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะจ่ายค่าแรงสูงกว่า ค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้วแต่หากมีการปรับเพิ่มค่าแรงขึ้นต่ำ ผู้ประกอบการก็ต้องปรับเพิ่มค่าแรงให้พนักงานด้วยเช่นกัน โดยฝ่ายวิจัยทำ Sensitivity หากผู้ประกอบการปรับเพิ่มค่าแรงขึ้น 5% โดยสมมติฐานอื่นไม่เปลี่ยนแปลง จะส่งกระทบแนวโน้มกำไรสุทธิกลุ่มเกษตร-อาหารปี 2566 ราว 4.7% จากปัจจุบัน

 

3.อุตสาหกรรมพัฒนาที่อยู่อาศัย : เนื่องจากโครงสร้างต้นทุนสัดส่วนหลัก 30-40% มาจากต้นทุนที่ดิน ตามด้วยต้นทุนก่อสร้างและแรงงานราว 40-50% ที่เหลือเป็นงานโครงสร้างและอื่น ๆ และหากพิจารณาแยกเฉพาะต้นทุนค่าแรงงานที่อิงกับค่าแรงขั้นต่ำ จะอยู่ในงานก่อสร้างที่ส่วนใหญ่ผ่านการจ้างงานกับผู้รับเหมา คาดคิดเป็น 20% ของต้นทุนรวม หรือราว 13% ของยอดขาย (อิง Gross Margin ขายฯ เฉลี่ย 33%) ภายใต้สมมติฐานการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5% จะกระทบต่อต้นทุนรวมเพิ่มขึ้น 1% 

 

อย่างไรก็ดีในทางปฏิบัติผลกระทบการขึ้นค่าแรงส่วนใหญ่จะอยู่กับกลุ่มบริษัทผู้รับเหมาที่ได้ว่าจ้างในการจัดการงานก่อสร้าง เนื่องจากใช้วิธีการ Outsource กับผู้รับเหมาฯ และปกติงานก่อสร้างที่อยู่อาศัยมีการทำสัญญาล่วงหน้า และต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างเพื่อส่งมอบ ดังนั้นจึงไม่กระทบต่อโครงการเดิมที่สร้างเสร็จแล้ว ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ปกติในสินค้ากลุ่มคอนโดฯ มีการกำหนดต้นทุนเรียบร้อย และบางบริษัท ทำสัญญากับผู้รับเหมาแบบTurnkey กล่าวคือผู้รับเหมาเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนแนวราบอาจมีการเจรจาต่อรองเรื่องต้นทุน ขณะที่โครงการใหม่ จะถูกส่งผ่านไปยังราคาขายใหม่ตามต้นทุนใหม่

 

นอกจากนี้ปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาฯ มีการนำเทคโนโลยีเข้าช่วยในงานก่อสร้าง เช่นPrecast สามารถลดแรงงานคนได้พอสมควร รวมถึงบริหารจัดการต้นทุนอื่น เพื่อไม่ให้dระทบต่อมาร์จิ้นอย่างมีนัยฯ ทั้งนี้จากการศึกษาข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพทำกำไรตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2551-2564) พบว่า ผู้ประกอบการยังสามารถรักษา Gross Margin ในกรอบ 32-34% และ Norm Profit ในกรอบ 13-15% แม้เผชิญกับวัฏจักรเรื่องต้นทุนก่อสร้างและแรงงานที่ปรับขึ้นก็ตาม (ยกเว้นปี 2563 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดและส่วนใหญ่เน้นขายสต๊อก พร้อมลดราคา ทำให้ GP ปีดังกล่าวลงมาอยู่ที่ 31% และ Norm Profit อยู่ที่ 12.5% ก่อนเห็นการฟื้นตัวขึ้นในปีถัดไป)

 

4. อุตสาหกรรมชิ้นส่วนฯ : มีสัดส่วนค่าแรงงานเฉลี่ย 5-8% ของต้นทุนรวม โดยฝ่ายวิจัยทำSensitivity หากผู้ประกอบการปรับเพิ่มค่าแรงขึ้น 5% โดยสมมติฐานอื่นไม่เปลี่ยนแปลง จะส่งกระทบแนวโน้มกำไรสุทธิกลุ่มชิ้นส่วนปี 2566 ราว 2.2% จากปัจจุบัน โดยผู้ประกอบการชิ้นส่วนในไทยจ่ายค่าแรงให้ลูกจ้างรายวันสูงกว่าค่าแรงขึ้นต่ำอยู่แล้ว แต่มีโอกาสขึ้นค่าแรงอีกเพื่อป้องกันการย้ายงานในอนาคตได้

 

5 อุตสาหกรรมรับเหมา ICT : แรงงานส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นลูกจ้างรายวันในบริษัท แต่จะเป็นการจัดหาแรงงานภายนอก (Outsource) ทำให้ภาระการจ่ายค่าแรงส่วนใหญ่ตกไปอยู่กับผู้รับเหมาช่วงที่มารับงานแทน ทั้งนี้หากผู้ประกอบการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำขึ้น 5% โดยสมมติฐานอื่นไม่เปลี่ยนแปลง คาดจะส่งกระทบแนวโน้มกำไรสุทธิน้อยกว่า 4.1% จากปัจจุบัน

 

เมย์แบงก์ มองผลกระทบ"Neutral" 

 

ด้านทีมวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ประเมินการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ คาดจะผ่านมติและบังคับใช้ให้ได้ในช่วงประมาณเดือนตุลาคม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี ส่งผลทำให้ค่าแรงเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ในช่วงประมาณ 330 – 350 บาท ต่อวัน จากฐานเดิม โดยพิจารณาตามสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของแต่ละจังหวัด

 

ผลจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ คาดจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานไม่มีฝีมือ (Unskilled Labor) ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่จะถูกปรับขึ้นค่าแรง คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 42.4% (อ้างอิงจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ) ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ก่อสร้าง และ ภาคบริการ 


อย่างไรก็ตามประเมินผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในภาพรวม และ กำไรบริษัทจดทะเบียน แบบเป็นกลาง (Neutral) เนื่องจาก 

 

  • 1) การปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ จะส่งผลเชิงลบต่อเพียงแค่บางอุตสาหกรรมและธุรกิจ 
  • 2) ในเชิงเปรียบเทียบ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้มีอัตราการปรับขึ้นต่ำกว่าครั้งปี 2556 (ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน ทั่วประเทศ) อย่างมีนัยสำคัญ 
  • 3) ภาคธุรกิจปรับตัวรองรับกับภาวะต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น อันเนื่องมาจากราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ มาแล้วระยะหนึ่ง  (อาทิเช่น ปรับขึ้นราคาขาย  ใช้นโยบายลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น)  
  • 4) อานิสงค์บวกจากกำลังซื้อที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อการบริโภคของไทย และหนุนให้ภาครัฐเก็บ Vat ได้มากขึ้น

 

โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม จากกรณีที่มีการปรับค่าแรงขึ้นต่ำขึ้น 10% จะส่งผล ดังนี้

 

  • กลุ่มก่อสร้าง โดนผลกระทบเชิงลบมากที่สุด แนวโน้มกำไรในปี 2566 จะโดนกระทบประมาณ 3-8% แต่ในขณะเดียวกันความสามารถในการปรับขึ้นราคาขายน่าจะทำได้ต่ำ (ประเมินที่ระดับประมาณ 1 จาก 10 คะแนน)
  • กลุ่มท่องเที่ยว โดนผลกระทบต่อกำไรมากที่สุดประมาณ 6-55% ในขณะที่ความสามารถในการปรับขึ้นราคาขาย ถือว่าอยู่ในระดับกลาง (ประมาณ 4 จาก 10 คะแนน)
  • ส่วนกลุ่มอื่นๆ ผลกระทบค่อนข้างจำกัด เช่น กลุ่มการแพทย์ ที่แม้ต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นจะกระทบกำไรประมาณ 2-14% แต่ความสามารถในการปรับเพิ่มราคาขายและบริการน่าจะสามารถทำได้ จากประเภทของสินค้าที่ถือเป็นสินค้าจำเป็น (ระดับคะแนนประมาณ 8 จาก 10)

 

"ค้าปลีก-การเงิน" รับอานิสงส์กำลังซื้อเพิ่ม 

 

เช่นเดียวกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆที่ส่วนใหญ่พึ่งพาแรงงานที่ได้รับค่าแรงขึ้นต่ำ หรือแรงงานไร้ฝีมือ ในสัดส่วนที่ไม่มาก นอกจากนี้บางกลุ่มอุตสาหกรรม นำโดย ค้าปลีก และการเงิน น่าจะได้ sentiment เชิงบวก จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มความเสี่ยงด้านเครดิตที่ต่ำลงของกลุ่มลูกค้าฐานราก