ทริส คงอันดับเครดิต AQUA ที่ระดับ BBB-แนวโน้ม คงที่

03 ก.พ. 2565 | 04:54 น.

ทริส เรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ AQUA ที่ระดับ "BBB-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการมีรายได้ประจำจำนวนมากจากค่าเช่าคลังสินค้าภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัดรายงานว่า ทริสได้คงอันดับเครดิต บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ AQUA ที่ระดับ "BBB-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ"คงที่" สะท้อนการมี
รายได้ประจำจำนวนมากจากค่าเช่าคลังสินค้าภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของบริษัทยังมีข้อจำกัดจากการที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าของบริษัทมีขนาดเล็กและตั้งอยู่ในพื้นที่จำกัด 


บริษัทได้มีการประกาศว่า จะทำการขายหุ้นสามัญของบริษัทในธุรกิจสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยให้แก่ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ  PLANB ธุรกรรมดังกล่าวมีมูลค่า 2.88 พันล้านบาท ในการนี้ บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าวไปชำระคืนหนี้ที่มีอยู่ รวมทั้งใช้เป็นเงินสำรองสำหรับการลงทุนในอนาคต และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท 
 

นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนจะซื้อหุ้นสามัญใน PLANB ในสัดส่วน 1.96% อีกด้วย รวมเป็นมูลค่า 606.48 ล้านบาท โดยการซื้อหุ้นสามัญดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของ PLANB ในช่วงเดือนเมษายน 2565 ภายหลังจากเข้าทำธุรกรรมดังกล่าวนี้ บริษัทจะยังคงมุ่งเน้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ รวมถึงธุรกิจพลังงานด้วย ในมุมมองของทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกรรมการขายหุ้นในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทในด้านโครงสร้างเงินทุนและสถานะสภาพคล่องของบริษัทจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น 

 

ทริส เรทติ้งคาดว่า การขายหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณาออกไปนั้น จะทำให้รายได้ของบริษัทลดลง 59% มาอยู่ที่ระดับ 337 ล้านบาทในปี 2565 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 353 ล้านบาท ทั้งนี้ทริสเรทติ้งคาดว่า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 9% ในปี 2565 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ต่ำกว่าระดับ 4 เท่า

ทริสเรทติ้งประเมินว่า สภาพคล่องของบริษัทยังคงเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 1 พันล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ คาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 233 ล้านบาท และยังคงมีเงินที่เหลือจากการเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 660 ล้านบาทด้วยภาระหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นเงินกู้ยืมที่มีหลักประกันจากธนาคารพาณิชย์ 

 

ทั้งนี้ ณ เดือน ธันวาคม 2564 อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 50% ซึ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญของการด้อยสิทธิของภาระหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทตาม “เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้” ของทริสเรทติ้ง