อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.09 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่า”ลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.05 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าและ มีโอกาสผันผวนตามเงินดอลลาร์ เนื่องจากตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยเรามองว่า หาก ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม ออกมาดีเกินคาด อาจช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นได้ (ยิ่งดีกว่าคาดมากเท่าไหร่ ก็อาจยิ่งทำให้แข็งค่ามากขึ้นตาม) แต่ถ้า ข้อมูลดังกล่าว ออกมาแย่กว่าคาดไปมาก เช่น เพิ่มขึ้น เพียง 4 แสนราย เงินดอลลาร์มีโอกาสเผชิญแรงขายและอ่อนค่าลง
อย่างไรก็ดี ปัญหาการระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกและในไทย ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางค่าเงินบาท โดยสถานการณ์การระบาดทั่วโลกที่เลวร้ายลง จะกดดันภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอื่นๆ ยกเว้นสหรัฐฯ ทำให้ ตลาดถือครองเงินดอลลาร์มากขึ้น หนุนให้ โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ในระยะสั้นอยู่
นอกจากนี้ สถานการณ์การระบาดในไทยยังวิกฤติอยู่ จากยอดผู้ติดเชื้อรายวันที่อยู่ในระดับสูงและยังไม่มีทีท่าจะลดลง (ซึ่งตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่ายอดรายงาน จากข้อจำกัดด้านการตรวจหาผู้ติดเชื้อ) ขณะเดียวกัน การแจกจ่ายวัคซีนก็ดูจะล่าช้าและแผนการแจกจ่ายวัคซีนอาจไม่สามารถรับมือกับการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าได้ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติยังสามารถทยอยขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย และกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้และนอกเหนือจากปัจจัยการระบาดของ COVID-19 เรามองว่า โฟลว์ธุรกรรมจากบริษัท MNC ต่างชาติ โดยเฉพาะ MNC ญี่ปุ่น อาจทยอยกลับเข้ามาแลกสกุลเงินต่างชาติ หรือ เงินเยน อีกครั้ง หลัง เงินเยนอ่อนค่าลงหนัก เมื่อเทียบกับเงินบาท หนุนให้เงินบาทโดยรวมยังทรงตัวในระดับสูงอยู่
ทั้งนี้ ค่าเงินบาทก็อาจอ่อนค่าต่อถึงระดับ 32.25-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ หลังเงินบาทอ่อนค่าทะลุแนวต้านสำคัญแถว 32 บาทต่อดอลลาร์ ดังนั้นจากทิศทางค่าเงินบาทที่มีความผันผวนมากขึ้น จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะ การใช้ Options เพราะหากค่าเงินบาทเคลื่อนไหวสวนทางกับสิ่งที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ผู้ประกอบการเองก็ยังสามารถเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิ์ของ Options หรือไม่ ทำให้ผู้ประกอบการมีความยืดหยุ่นในการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่าการจอง Forward เพียงอย่างเดียว
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.00-32.15 บาท/ดอลลาร์
ตลาดการเงินเริ่มต้นครึ่งหลังของปี 2021 ด้วยการกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยในฝั่งสหรัฐฯ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ที่ลดลงต่อเนื่อง สู่ระดับ 3.64 แสนราย ได้หนุนให้ ดัชนี S&P500 สามารถปิดตลาด +0.52%
ส่วนในฝั่งยุโรป แม้ว่าจะเผชิญความกังวลปัญหาการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Delta แต่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจโดยรวมของยุโรป ยังคงสดใส อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของเยอรมนี ในเดือนพฤษภาคม ที่ขยายตัวกว่า 4.2% จากเดือนก่อนหน้า และ อัตราว่างงาน (Unemployment rate) ของยุโรปที่ลดลงเหลือ 7.9% ในเดือนพฤษภาคม ได้ช่วยหนุนให้ ดัชนี STOXX50 ของยุโรป รีบาวด์ขึ้นมา +0.36% นำโดยหุ้นกลุ่มการเงิน Santander +2.17%, ING +1.67%, Safran +1.61%%, AXA +1.43%
ทั้งนี้ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังทรงตัวใกล้ระดับ 1.47% หลังตลาดเผชิญทั้ง ความไม่แน่นอนของปัญหาการระบาด COVID-19 ทั่วโลก ที่กดดันให้ผู้เล่นในตลาดโดยรวมยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเต็มที่ (กดดันให้ยีลด์มีแนวโน้มลดลง) ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงสดใสอยู่ (หนุนให้ยีลด์ปรับตัวขึ้น) ซึ่งบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ มีโอกาสแกว่งตัวในกรอบไปก่อน จนกว่าเฟดจะส่งสัญญาณชัดเจนถึงการทยอยปรับลดคิวอีลง ซึ่งอาจเป็นช่วงปลายเดือนสิงหาคม ที่เฟดจะมีงานประชุมสัมมนาวิชาการที่ Jackson Hole หรือ สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 มีทิศทางชัดเจนมากขึ้น ว่าจะเลวร้ายลง (กดดันยีลด์ปรับตัวลง) หรือ ดีขึ้นต่อเนื่อง (อาจหนุนยีลด์ปรับตัวขึ้นได้)
ทางด้านตลาดค่าเงิน ปัญหาการระบาดของ COVID-19 ได้หนุนให้ เงินดอลลาร์ เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 92.56 จุด กดดันให้ เงินเยน (JPY) อ่อนค่าลงกว่า แตะระดับ 111.6 เยนต่อดอลลาร์ ส่วนเงินปอนด์ (GBP) ก็อ่อนค่าลงต่อเนื่อง สู่ระดับ 1.376 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่พุ่งสูงขึ้น
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญของตลาดจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยตลาดมองว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนมิถุนายน ก็จะเพิ่มขึ้นกว่า 7 แสนตำแหน่ง และทำให้ อัตราว่างงานในสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 5.7% หนุนโดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาคึกคักมากขึ้น หลังการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และการทยอยยุติเงินช่วยเหลือผู้ตกงานเพิ่มเติมในหลายรัฐ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่ามาทดสอบระดับ 32.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ (อ่อนค่าสุดรอบกว่า 13 เดือนครั้งใหม่) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลง เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่คาดในระยะนี้ อาทิ ตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้ คาดไว้ที่ 32.00-32.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่สถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ในประเทศ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ค่าตอบแทนชั่วโมงการทำงานเดือนมิ.ย. รวมถึงยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ค.