บาท“อ่อนค่า” ถึงไตรมาส2

28 มี.ค. 2564 | 19:35 น.

กูรูตลาดเงินชี้ ทิศทางเงินบาทระยะสั้น“อ่อนค่า” ถึงไตรมาส2 ตามตลาดโลก หลังดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จากปัญหาโควิด-19 คลี่คลาย จับตาเงินไหลออก พร้อมเตือนผู้ส่งออกและนำเข้าป้องกันความผันผวนลดเสี่ยง

เงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามทิศทางตลาดโลก หลังจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น หลังจากนักลงทุนหันมาถือครองมากขึ้น เพราะมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสหภาพยุโรปที่มีความรุนแรง ขณะที่การแก้ปัญหาโควิด-19ในสหรัฐมีความคืบหน้าในการกระจายวัคซีนและรณรงค์ให้ประชาชนสวมหน้ากากมากขึ้น ซึ่งช่วยชะลอให้ยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ลดลง ส่งผลให้ช่วง 3 เดือนแรกปี 2564 เงินบาทอ่อนค่ามาแล้ว 3.8% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 29.95 มาอยู่ที่ระดับ 31.13 บาท/ดอลลาร์ ณ วันที่ 25 มีนาคม 2564 

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยว่า เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง โดยที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)เมื่อ 23 มีนาคม ได้ปรับลดประมาณการดุลบัญชีเดินสะพัดลง จากเดิมที่คาดว่าจะเกินดุล 11.6 พันล้านดอลลาร์เหลือเดินดุล 1.2 พันล้านดอลลาร์ และทยอยปรับเพิ่มขึ้นในปี 2565 แต่ยังลดลงจากคาดการณ์เดิมที่อยู่ 29.1 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้จากดุลบัญชีเกินดุลน้อยลง สะท้อนแรงกดดันที่มาจากดุลบัญเดินสะพัดต่อค่าเงินบาทจะน้อยลง แต่ธปท.ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้าง Fx Ecosystem ต่อเนื่อง

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทยกล่าวว่า ตัวเลขการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ธปท.ปรับลดประมาณการลงค่อนข้างมากนั้น ไม่ว่าจะด้วยราคานํ้ามันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น หรือเงินเฟ้อ ซึ่งหากประเทศไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดน้อยมากหรือขาดดุลบางไตรมาส อาจมีผลทำให้ค่าเงินบาทอยู่ในทิศทางที่อ่อนค่าลงได้ จากเดิมที่ตลาดมองว่า จะแข็งค่าตลอดทั้งปี ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศยังไม่กลับมา แต่เงินบาทอาจจะไม่อ่อนค่าเร็ว ซึ่งเป็นเรื่องดีที่จะช่วยผู้ส่งออกและเศรษฐกิจ

การเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลต่างๆ  

นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจโกลบอล มาร์เก็ตส์ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)มองว่า ระยะสั้นเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งอาจจะผิดไปจากที่ประมาณการก่อนหน้าเคยมองว่าจะค่อยๆ แข็งค่าขึ้นตั้งแต่ต้นปี แต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เงินบาทกลับเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่าตามตลาดโลก โดยเห็นได้จากสกุลเงินยูโรก็อ่อนค่ามาแล้ว 5% ซึ่งสะท้อนการอ่อนค่าในรอบ 5 เดือน

ส่วนเงินบาทในไตรมาสแรก น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 31.00 บาทต่อดอลลาร์ จากนั้นช่วงท้ายปีคือ ไตรมาสที่ 4 จะเห็นค่าเงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวที่ 29.5 0 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ตามกรุงศรียังมองเงินบาทมีแนวโน้มที่อ่อนค่าส่วนทางสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า 

สำหรับปัจจัยหลักมาจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีแนวโน้มสดใสกว่าเมื่อเทียบกับประเทศภูมิภาค โดยเฉพาะในยุโรปที่มีการล็อกดาวน์รอบ 3 ทั้งในเยอรมนีและฝรั่งเศส ขณะเดียวกันภายใต้การบริหารประเทศของประธานาธิบดี นายโจ ไบเดน ได้มีการเร่งกระจายการฉีดวัคซีนจนสามารถกดยอดจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยยสำคัญ รวมถึงมาตรการทางการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้าน 

สิ่งที่ต้องติดตามในครึ่งปีหลัง ถ้าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ไม่ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจประกอบกับเศรษฐกิจนอกประเทศสหรัฐเริ่มฟื้นตัว น่าจะเริ่มเห็นนักลงทุนเทขายสกุลเงินดอลลาร์ เพื่อซื้อสกุลเงินอื่นแทน ส่วนทิศทางเงินบาทจะกลับมาแข็งค่า เนื่องจากปัจจัยดอลลาร์เป็นหลักและเศรษฐกิจนอกประเทศสหรัฐเริ่มฟื้นตัว

“มองไปข้างหน้า ยังมีปัจจัยหลากหลายและมีความซับซ้อนไม่ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตร(บอนด์ยีลด์) สหรัฐ หรือ ราคาทองคำ ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้ประกอบการ ดังนั้นช่วงที่เหลือ ในแง่ของผู้ประกอบการทั้งผู้ส่งออกและนำเข้า จำเป็นต้องป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนและปัจจัยต่างๆ หรือจะพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่นเพื่อเลี่ยงความผันผวนของดอลลาร์”นางสาวรุ่งกล่าว 

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน EASY INVEST บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ไทยพาณิชย์ หรือ SCBS กล่าวว่า ทิศทางค่าเงินบาทในไตรมาส 2 มีโอกาสที่จะเห็นการเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากเห็นเงินบาทเคลื่อนไหวจาก 30.00 บาท/ดอลลาร์ เป็น 31.00 บาทต่อดอลลาร์ในไตรมาสแรก ซึ่งมาจาก 3 ปัจจัยหลักคือ 1.การค้าระหว่างประเทศ(กระทรวงพาณิชย์)เห็นตัวเลขการนำเข้าเป็นบวกในระดับสูง 20% แต่การส่งออกติดลบ 2%  2.มุมมองในตลาดทุน เรื่องอัตราผลตอบแทนคาดหวังทั้งหุ้นและพันธบัตรไม่น่าสนใจ แนวโน้มอาจจะเห็นเงินทุนไหลออกไปลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากในแง่ของรายได้ของบริษัทจดทะเบียนยังไม่ฟื้น และ 3.ปัจจัย Risk Sentment จากเดิมที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มตลาดหลักทรัพย์อยู่ในทิศทางขาขึ้นแต่ที่ผ่านมายังไม่สามารถทำ New High ได้จึงมีการทยอยขายทำกำไร 

“เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวในบางอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ตามทวีปเอเชียที่ทยอยฟื้นตัวหลังจากเศรษฐกิจของสหรัฐยุโรปและญี่ปุ่นโดยปลายปีมองเงินบาทอยู่ที่ 30.50 บาทต่อดอลลาร์” นายจิติพลกล่าว  

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,665 วันที่ 28 - 31 มีนาคม พ.ศ. 2564