แนะเก็งกำไรหุ้นไฟแนนซ์

13 มี.ค. 2564 | 23:35 น.
อัปเดตล่าสุด :14 มี.ค. 2564 | 09:59 น.

กลุ่มไฟแนนซ์ไม่สะเทือน หลังครม.เห็นชอบปรับลดอัตราดอกเบี้ยผิดสัญญาเงินกู้และผิดนัดชำระหนี้ โบรกชี้กระทบเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่สัดส่วนที่สูง และสถาบันการเงินไม่เน้นหนี้เสีย แนะเข้าซื้อเก็งกำไรหากราคาปรับลดลง

หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในหมวดที่ว่าด้วยอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ ดอกเบี้ยที่ไม่ได้ตกลงกันไว้ก่อน มาตรา 7 เดิมคิด 7.5% ต่อปี อัตราคงที่ตลอด ปรับใหม่เป็น 3% ต่อปี และให้กระทรวงการคลังประเมินทุก 3 ปี หากจำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอาจต้องออกพระราชกฤษฎีกาต่อไป, ดอกเบี้ยเมื่อลูกหนี้ผิดนัด มาตรา 224 ปัจจุบันคิดที่ 7.5% ต่อปี ปรับใหม่เหลือ 5% ต่อปี มาจากดอกเบี้ย 3% จากมาตรา 7 และเพิ่มอีก 2% 

นอกจากนี้ ในส่วนของการคิดดอกเบี้ยผิดนัดเวลาผ่อนส่งเป็นงวด เดิมคิดจากเงินต้นที่ค้างทั้งหมด ให้คิดจากเฉพาะเงินต้นที่ผิดนัดเท่านั้น ซึ่งจะตกลงแตกต่างจากนี้ไม่ได้ ทั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากความล้าสมัยของอัตราดอกเบี้ย จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยดังกล่าวมีการบังคับใช้มานานกว่า 95 ปี หรือตั้งแต่ปี 2468 จนถึงปัจจุบัน โดยขั้นตอนต่อจากนี้ เมื่อสภาเปิดประชุมสมัยสามัญแล้ว จะมีการประสานงานเพื่อให้รับร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้ พิจารณา และคาดว่าน่าจะมีการประกาศและบังคับใช้ภายในปี 2564 

อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดสัญญาเงินกู้และกรณีผิดนัดชำระหนี้ในครั้งนี้ สอดคล้องกับประกาศของธปท. รวมถึงในด้านประเด็นวินัยทางการเงิน ซึ่งเดิมมีแนวคิดว่า หากกำหนดอัตราเบี้ยปรับไว้สูงประชาชนจะไม่ผิดชำระหนี้ แต่ด้วยสถานการณ์เปลี่ยนไป พิจารณาแล้วเห็นว่าการคิดค่าปรับในอัตราดอกเบี้ยที่สูงจะเป็นอุปสรรคต่อการชำระหนี้ของประชาชน อีกทั้งยังช่วยลดภาระของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้มีโอกาสชำระหนี้ได้มากขึ้น และมีโอกาสผิดนัดน้อยลง

คำแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์

ขณะที่ในด้านของฝั่งผู้ประกอบธุรกิจไฟแนนซ์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะได้รับผลกระทบจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส จำกัด ประเมินว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดสัญญาเงินกู้และกรณีผิดนัดชำระหนี้ จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มเช่าซื้อจำกัด เพราะรายได้จากการปรับล่าช้าคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 5% ของรายได้รวม ซึ่งไม่ใช่รายได้หลักของกลุ่ม อีกทั้งในปี 2563 ผู้ให้บริการในกลุ่มเช่าซื้อแทบไม่ได้มีการคิดค่าปรับจากลูกค้ามากนัก เนื่องจากลูกค้าได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจไม่ได้จากการระบาดของโควิด ผู้ให้บริการจึงต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเอาไว้ 

นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้ให้บริการในกลุ่มเช่าซื้อก็หันมาเน้นขายประกันให้ลูกค้ามากขึ้นแทน โดยแนะนำหุ้นที่ราคาหุ้นในกลุ่มเช่าซื้อหลายตัวปรับเพิ่มขึ้นมากจนใกล้เคียงมูลค่าพื้นฐานปี 2564 แล้ว ได้แก่ บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (ASK) จากแนวโน้มกำไรสุทธิปีนี้คาดเติบโต 20.8% และให้ปันผลสูงกว่า 6%, บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (JMT) จากแนวโน้มกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตถึง 35.7% หลังธุรกิจบริหารหนี้เติบโตต่อเนื่อง และบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM) ที่แนวโน้มกำไรสุทธิปีนี้จะฟื้นตัวถึง 74.9% จากการขาย NPLs และ NPAs ได้เพิ่มขึ้น

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดสัญญาเงินกู้และกรณีผิดนัดชำระหนี้นั้น เป็นผลดีต่อประชาชน แต่อาจจะกระทบกับรายได้ดอกเบี้ยของสถาบันการเงินเพียงเล็กน้อย ถึงแม้รายได้จากดอกเบี้ยจะเป็นรายได้หลัก แต่รายได้จากค่าปรับการผิดนัดชำระหนี้มีสัดส่วนไม่มาก อาจจะลดลงจากปกติที่เคยได้ แต่ไม่มีผลมากนัก ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินไม่ได้คาดหวังกับรายได้ในส่วนนี้มากนัก เพราะการทำธุรกิจไม่ควรมีหนี้เสีย และเน้นลูกค้าที่มีความสามารถในการชำระหนี้มากกว่า

ด้านบล.ไทยพาณิชย์ จำกัด ระบุว่า มองประเด็นนี้เป็นผลดีหนุนกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มไฟแนนซ์ โดยคาดว่า จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ทั้งนี้ หากราคาหุ้นปรับตัวลดลง นักลงทุนสามารถเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรได้

ขณะที่บล.เคทีบีเอสทีชี้ว่า มีมุมมองเป็นลบเล็กน้อยต่อกลุ่มสินเชื่อ(ไฟแนนซ์)จากรายได้ดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่อาจจะลดลง โดยประเมินว่า สัญญาเช่าซื้ออาจจะได้รับผลกระทบ เพราะมาตรการนี้จะประกาศบนประมวลแพ่ง และพาณิชย์ ซึ่งคาดว่า จะครอบคลุมมากกว่าประกาศสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ทำให้สัญญาเช่าซื้อมีโอกาสที่จะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระลงเป็น 5% จากปัจจุบันที่คิดไม่เกิน 15% โดยมีผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง คือ THANI, MICRO, AMANAH, TK, S11

สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการสินเชื่อจำนำทะเบียน (MTC, SAWAD, SINGER)คาดว่า จะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะอยู่ภายใต้การควบคุมของธปท.ที่เข้มงวดมากกว่า และ MTC ไม่มีการเรียกเก็บดอกเบี้ยผิดนัดชำระ แต่กลุ่มไฟแนนซ์ จะไม่ได้รับผลกระทบจากการไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ย และการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระบนเงินต้น เนื่องจากปัจจุบันสัญญาได้ระบุอัตราดอกเบี้ยแบบ EIR และคิดดอกเบี้ยผิดนัดจากเงินต้นเท่านั้นอยู่แล้ว 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทริสฯลดเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ ไทยแอร์เอเชีย จาก BB แนวโน้ม Negative

“แดน เหตระกูล" เดินหน้าพลิกฟื้น IRCP

เปิดมุมมองอสังหาฯ เจ้าพ่อ โกลเด้นทาวน์ ‘แสนผิน สุขี’

ดาวโจนส์ปิดบวก 293 จุด ในรอบสัปดาห์นี้เพิ่มขึ้น 4.1%

หุ้นไทยปิดลบ 6.94 จุด

หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,661 วันที่ 14 - 17 มีนาคม พ.ศ. 2564