อีสท์สปริงส์ไทย ปักธง ผู้นำ FIF

24 ก.พ. 2564 | 03:18 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ก.พ. 2564 | 03:21 น.

กางแผนลงทุน “อีสท์สปริงส์ ไทยแลนด์” ลั่นเป็นผู้นำการลงทุนต่างประเทศ หลังมีแชร์ตลาด FIF เป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมกองทุนรวม แถมช่วงวิกฤติโควิด-19 สร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าไม่ตํ่ากว่า 40-50%  ยํ้าคนไทยต้องมองการลงทุให้กว้างขึ้น เหตุผลตอบแทนในประเทสไม่พอรองรับวัยเกษียณ 

 หลังการควบรวมกิจการของบริษัทแม่ระหว่างธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคาร ธนชาต จำกัด (มหาชน) ทำให้บริษัทลูกอย่างบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ทหารไทย จำกัด และบลจ.ธนชาต ต้องควบรวมกิจการตามไปด้วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุญาตควบรวมกิจการ ซึ่งจะเป็นลักษณะ A+B=C จะเปลี่ยนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจใหม่ (ไลเซนส์) และใช้ไลเซนส์เดียวกันทั้งหมด ส่วนชื่อบลจ.จะแจ้งอีกครั้งหลังการได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังแล้ว ทำให้ปัจจุบันในรูปของบริษัทยังคงอยู่ภายใต้ชื่อบลจ.ทหารไทย จำกัด (TMBAM Eastspring) และบลจ.ธนชาต จำกัด (Thanachart Fund Eastspring)

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. ธนชาต จำกัด (Thanachart Fund Eastspring) และบลจ. ทหารไทย จำกัด(TMBAM Eastspring)เปิดเผยว่า คาดว่ากระบวนการควบรวมกิจการจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะทำให้มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการสุทธิ (AUM) รวมกันมากกว่า 4.2 แสนล้านบาท ขึ้นแท่นอันดับ 5 ของบลจ.ที่ใหญ่ที่สุดในไทย ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 8% และภายในปี 2568 ตั้งเป้าหมายให้ AUM  เติบโตแตะ 1 ล้านล้านบาท แม้ไม่ใหญ่สุดในตลาด แต่ต้องการเป็นที่ 1 ในตลาดลงทุนต่างประเทศในเรื่องกองทุน FIF ด้วยการเสนอผลิตภัณฑ์ลงทุนในตลาดต่างประเทศ 

กองทุน FIF มีศักยภาพการเติบโต จากช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 2558-2569 สินทรัพย์รวมของอุตสาหกรรมเติบโตเพียง 3% ขณะที่สินทรัพย์ของ FIF เติบโตถึง 12% และบลจ.ทหารไทยเติบโตถึง 37% เพราะคนไทยเริ่มกระจายการลงทุนไปต่างประเทศมากขึ้น โดยสิ้นปี 2563 มีกองทุนที่ไปลงทุนต่างประเทศ 4.9 แสนล้านบาท ประมาณ 10% ของเงินลงทุนทั้งหมด 4 ล้านล้านบาท ขณะที่่หากรวมกองทุน FIF ของทั้ง 2 บลจ.ในปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า มีสัดส่วนการซื้อขายกองทุน FIF มากที่สุดถึง 49,580 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 43% ของอุตสาหกรรมรวมที่ 115,155 ล้านบาท 

ยอดซื้อขายกองทุนต่างประเทศ ปี 2563

อย่างไรก็ตาม การเติบโตจะมากในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 เนื่องจากในช่วงครึ่งแรกเกิดวิกฤติต่างๆ จากการระบาดของ
โควิด-19 ทำให้เงินไหลออกจากกองทุนไปอยู่ที่เงินฝาก โดยเป็นเม้ดเงินรวมของอุตสาหกรรมประมาณ 4 แสนล้านบาท เป็นของบลจ.ทหารไทย 2 แสนล้านบาท ทำให้ต้องปิดกองตราสารหนี้ไป 4 กองทุน ล่าสุดสามารถคืนเงินให้กับผู้ถือหน่วยไปแล้วมากกว่า 80% เหลือ 10-15% ที่จะทยอยจ่าย ส่วนใหญ่เป็นตราสารหนี้อายุยาวๆ ที่รอให้ราคาปรับขึ้นอีกนิดแล้วจะทยอยขาย เพื่อนำเงินมาคืนให้กับลูกค้า ที่สำคัญตราสารหนี้ที่ถือตั้งแต่วั้นนั้นจนถึงสิ้นปี ไม่มีผิดนัดชำระหนี้แม้แต่บริษัทเดียว 

“เมื่อสถานการณ์สงบ ลูกค้าเข้าใจว่า เป็นวิกฤติจาก
โควิด-19 ที่เป็นภาวะของตลาดที่ควบคุมไม่ได้และเราสื่ออกไปว่า 4 กองทุนที่ปิด 80% ได้รับเงินคืนและคืนไปในอัตราที่สูงกว่า NAV ณ วันที่ปิดกอง ทำให้ลูกค้าเริ่มกลับมาลงทุนกองทุนทางเลือกที่เราออก รวมถึงกองทุนเดิมๆที่เรากลับมาเปิดตัวใหม่ในปลายปีที่แล้ว ได้รับการตอบรับดีมีเงินไหลเข้ามารวมๆ เป็นหมื่นล้านบาท”

นอกจากนั้นหลังตลาดกลับมาฟื้นตัว ช่วงเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว มีการเปิดกองทุนต่างประเทศ ได้แนะลูกค้าให้ปรับพอร์ตไปลงทุนต่างประเทศ ลูกค้าโยกการลงทุนจากหุ้นในประเทศมาเป็นหุ้นต่างประเทศทำให้ได้รับผลตอบแทน 40-50% ขณะที่หุ้นไทยตั้งแต่ต้นจนถึงกลางปีติดลบ 40-50% จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มั่นใจในการที่จะเดินหน้าการลงทุนในตลาดต่างประเทศต่อไป 

สำหรับตลาดต่างประเทศที่น่าสนใจขณะนี้ หลักๆจะเป็นตลาดเอเชีย เพราะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)จะสูงกว่าฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกาแน่นอน โดยเฉพาะจีนและอินเดียที่จะเติบโตและแข็งแรง โดยคาดว่า จีนจะโต 8% อินเดีย 7% ขณะที่ไทยคาดว่า จะโตเพียง 2.5% ตํ่ามากเมื่อเทียบกับอาเซียนอย่างอินโนีเซียที่คาดว่าจะโต 6% ดังนั้นจึงเป็นตลาดที่น่าสนใจที่จะแนะนำให้ลูกค้าได้รับผลตอบแทนที่ดีในเรื่องของธุรกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นฟินเทค อีคอมเมิร์ซ ที่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมและแข็งแรงมากทั้งในจีนและอินเดีย 

“เราควรมองโอกาสการลงทุนให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ลงทุนให้หลากหลายมากกขึ้นกว่าเดิม เพราะบนการลงทุนหุ้นที่จีดีพีไทยจะโต 2.5% จะดีแค่ไหนเมื่อเทียบกับประเทศที่โต 7-8% ผลตอบแทนจากการลงทุนจะต่างกันแค่ไหนก็รู้อยู่แล้ว โอกาสลงทุนที่มีต้องได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก เพราะประเทศ ไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ อยู่ในจุดที่รายได้ตํ่า แต่ผู้สูงอายุเยอะ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป การจุนเจือในระดับครอบครัวลดลงเรื่อยๆ ขณะที่อายุเฉลี่ยของคนไทยสูงขึ้น สัดส่วนการออมของรายได้ตํ่ามาก ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหุ้นและดอกเบี้ยตํ่ามาก จึงอยากให้ลูกค้ามองตัวเองเป็น Global Citizen อย่ามองว่า เป็นคนไทย ต้องลงทุนในไทยเท่านั้น เพราะขณะนี้การเขาถึงข้อมูลกว้างขึ้น ง่ายขึ้นมาก” นายอดิศรกล่าว     

 

หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,656 วันที่ 25 - 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564