ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (15 ม.ค.) ถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐหลังจากเปิดเผยรายงานผลประกอบการ และบรรดานักลงทุนวิตกว่า แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของนายโจ ไบเดน อาจจะส่งผลให้มีการปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลตามมา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
โดยรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 0.9% ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ลดลง 1.5%
หุ้นเจพีมอร์แกน, หุ้นซิตี้กรุ๊ป และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ปรับตัวลง แม้เปิดเผยผลกำไรไตรมาส 4/2563 ดีกว่าคาดก็ตาม
หุ้นกลุ่มธนาคารในดัชนี S&P500 ร่วงลง 3.3% โดยหุ้นเจพีมอร์แกนร่วง 2.2% หลังปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 7 วันซึ่งหนุนราคาหุ้นพุ่งขึ้นรวม 12%
ตลาดถูกกดดันจากรายงานของวอชิงตันโพสต์ที่ระบุว่า วัคซีนต้านโรคโควิด-19 ได้หมดลงแล้ว ขณะที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยืนยันที่จะแจกจ่ายวัคซีนในสัปดาห์นี้ ซึ่งทำลายความหวังเกี่ยวกับการเข้าถึงวัคซีนเพิ่มขึ้น
นักลงทุนยังกังวลว่า แผนการของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์นั้น อาจจะทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลตามมาเพื่อหาเงินสำหรับการใช้จ่ายดังกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ยอดค้าปลีกของสหรัฐลดลงในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้ชะลอตัวลงในช่วงสิ้นปี 2563
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 อาทิ กลุ่มพลังงาน, กลุ่มการเงิน และกลุ่มอุตสาหกรรม ปรับตัวลงมากที่สุด ขณะที่หุ้นกลุ่มปลอดภัย อาทิ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มสาธารณูปโภค ปรับตัวขี้น