ถ้าพูดถึง การใช้ชีวิตในวัยเกษียณ สิ่งที่เราๆ ต้องการไม่ใช่แค่สุขภาพทางกายที่ดีเท่านั้น จะต้องรวมถึงสุขภาพทางเงินที่ดีด้วย บางคนอาจคิดว่า เมื่อเราเกษียณไม่ต้องทำงาน ก็จะไม่มีค่าเดินทางไปไหนมาไหน แต่แท้จริงแล้ว ค่าใช้จ่ายต่างๆไม่ได้ลดลงเลย เพราะเรายังต้องเดินทาง ยังต้องจ่ายค่าอาหารการกิน และค่าใช้จ่ายแต่ละวันก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอัตราเงินเฟ้อในอนาคตอีกต่างหาก
ขณะเดียวกัน เรายังต้องมีค่ารักษาพยาบาลเพิ่มเข้ามาอีกด้วย ตั้งแต่การตรวจสุขภาพอย่างละเอียด ค่ารักษาพยาบาลและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
ดังนั้น การวางแผนเกษียณอายุ จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะช่วงเวลาดังกล่าว แหล่งที่มาของรายได้ จะมาจากเงินที่เราเก็บออมมาตั้งแต่วัยทำงาน แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่า เงินเก็บเรา จะมีเพียงพอให้ใช้จ่ายไปได้ตลอดจนถึงวัยหลังเกษียณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนที่ใกล้เกษียณ(Pre-retirement) จะมีกลยุทธ์มาปรับแผนการเงินก่อนเกษียณอย่างไรดี
ที่สำคัญเราจะต้องมีเงินเท่าไร ถึงจะพอสำหรับใช้จ่ายได้สบายๆ ในช่วงเกษียณอายุ
ตัวอย่าง หากเราจะเกษียณตอนอายุ 60 ปี และคาดว่า จะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณไปอีก 20 ปี ก็คืออายุ 80 ปี โดยที่มีค่าใช้จ่ายปัจจุบันอยู่ที่ 30,000 บาทต่อเดือน เราจะต้องมีค่าใช้จ่ายหลังเกษียณอยู่ที่ 21,000 บาทต่อเดือน (70% x 30,000) (ที่คิด 70% ของค่าใช้จ่ายปัจจุบัน เพราะจะมีเรื่องอัตราเงินเฟ้อในอีก 20 ปีข้างหน้าด้วย) หรือ คิดเป็น 252,000 บาทต่อปี
จากนั้น เราคูณด้วยจำนวนปีที่คาดว่า จะใช้ชีวิตหลังเกษียณ นั่นก็คือ 20 ปี ซึ่งจะได้ผลลัพท์ออกมาว่า เราจะต้องมีเงินออมสะสมตอนอายุ 60 ปี จำนวน 5,040,000 บาท เลยทีเดียว
มาดูว่า แล้วเราจะต้องออมเงินอย่างไร จึงจะถึงเป้าหมายและมีเงินใช้หลังเกษียณได้สบายๆ
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
หากที่ทำงานของเรามีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้กับพนักงาน ถือว่า เป็นการสะสมเงินทางอ้อม โดยที่ลูกจ้างและนายจ้างสมัครใจร่วมกันสมทบเงินเข้ากองทุน เราควรจะเลือกให้บริษัทหักเงินสะสมในเปอร์เซ็นต์ที่สูงสุดคือ 15% เสมือนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นจากเงินสมทบที่นายจ้างจ่ายให้เป็นสวัสดิการ เพราะยิ่งหักเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเยอะ เราก็็จะได้รับเงินสมทบจากนายจ้างเยอะเช่นกัน แถมเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
ลงทุนในกองทุนรวม RMF หรือ SSF
เริ่มลงทุนด้วยกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งเหมาะมากกับการสะสมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ เพราะต้องถือครอง RMF ยาวจนถึงอายุ 55 ปี แต่หากใครที่รับความเสี่ยงได้มากขึ้นมาหน่อย อาจมองหาช่องทางการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ไว้ด้วย เพราะสามารถหาจังหวะขายทำกำไรระยะสั้นได้ ที่สำคัญเงินที่ลงทุนใน RMF และ SSF ยังสามารถนำมาลดหย่อนภาษีประจำปีได้อีกด้วย
ลงทุนในหุ้นกู้
การลงทุนในหุ้นกู้ค่อนข้างได้รับความนิยมสูง โดยเฉพาะของภาคเอกชน ความมั่นคงขึ้นอยู่กับบริษัทที่จัดตั้ง ไม่มีการประกันจากธนาคารและรัฐบาล จึงมีข้อได้เปรียบสำหรับนักลงทุนคือ มีดอกเบี้ยสูงกว่าพันธบัตรของรัฐบาล แต่ก็มีความเสี่ยงมากกว่าตามไปด้วย ควรถามตัวเองก่อนว่า พร้อมจะรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน
ทำประกันแบบสะสมทรัพย์ หรือ ประกันบำนาญ
ขึ้นชื่อว่า การทำประกัน หลายคนคงกลัวเรื่องเวลาและผลตอบแทน บางทีไม่คุ้มค่ากับการเก็บออมระยะยาว รวมถึงเห็นผลได้ไม่ทันท่วงที แต่การเลือกออมเงินด้วยวิธีนี้คือ ทางเลือกที่จะทำให้ชีวิตในวัยเกษียณของเรามั่นคงยาวนานยิ่งขึ้น
ลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้วปล่อยเช่า
ช่วงดอกเบี้ยขาลง การลงทุนเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้วปล่อยเช่า เช่น คอนโด , ทาวน์โฮม ถือว่า เป็นการลงทุนที่น่าสนใจไม่น้อย แถมยังเก็บเป็นทรัพย์สินในอนาคตได้ นอกจากนี้การกู้เงินเพื่ออสังหาริมทรัพย์ยังสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อีกทางหนึ่งด้วย
ทางเลือกเหล่านี้ จะทำให้เรามีเงินออมระยะยาว เพื่อชีวิตที่ดีหลังเกษียณ ยิ่งทำเร็ว จะยิ่งมีสุขภาพที่ดีทางการเงินไปด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว การวางแผนทางการเงินให้ดูแลเราทั้งในเรื่องร่างกายและการเงินนั้นสำคัญ
หน้า 18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,620 วันที่ 22 - 24 ตุลาคม พ.ศ. 2563