นางสาวจอมขวัญ คงสกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ตลาด Green Bond ในไทยมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย พบว่ามีหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนหลายรายให้ความสนใจระดมทุนผ่าน Green Bond โดยอยู่ระหว่างเตรียมการออกและเสนอขาย รวมถึงตราสารหนี้เพื่อพัฒนาสังคม (Social Bond) และตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน(Sustainability Bond)
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ผู้ออกเสนอขายตราสารหนี้ดังกล่าวพบว่าสามารถขยายฐานผู้ลงทุนให้กว้างและหลากหลายขึ้น ลดต้นทุนจากการจ่ายผลตอบแทน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่องค์กร ก.ล.ต. จึงหวังว่าผู้เกี่ยวข้องจะตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของการระดมทุนผ่านตราสารดังกล่าวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับบทบาทของตลาดทุนในการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมได้
สำหรับผู้สนใจออกและเสนอขาย Green, Social and Sustainability Bond ในไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจด้านพลังงานและสาธารณูปโภค ขนส่งและโลจิสติกส์ และธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐโดยที่ผ่านมามีผู้ออกเสนอขายตราสารหนี้ดังกล่าว จำนวน 8 บริษัท คิดเป็นมูลค่าการระดมทุนรวมมากกว่า 47,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ก.ล.ต. ร่วมกับกองทุนพรอสเพอริตี้ของรัฐบาลสหราชอาณาจักรและบริษัท อีวาย คอร์ปอเรท เซอร์วิสเซส จำกัด (สิงคโปร์) จัดงานสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “Deep-dive into green bond: post-issuance reporting and sector eligibility criteria” เพื่อส่งเสริมการระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) และการมีส่วนร่วมของตลาดทุนไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีวิทยากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากทั้งในและต่างประเทศมาให้ความรู้เกี่ยวกับ Green Bond และคำปรึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับมาตรฐานและเกณฑ์คุณสมบัติโครงการแต่ละประเภทธุรกิจหรืออุตสาหกรรม เช่น กลุ่มไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กลุ่มพลังงานจากขยะ กลุ่มไฟฟ้าพลังงานน้ำ และกลุ่มพลังงานชีวภาพ รวมทั้งกระบวนการรายงานภายหลังการออกและเสนอขายในลักษณะเฉพาะเจาะจงที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในแต่ละกลุ่มธุรกิจ เพื่อเตรียมความพร้อมแก่องค์กรที่สนใจออกและเสนอขาย