สัมภาษณ์พิเศษ
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย จากผลกระทบสงครามการค้า หลังเกิดสัญญาณบ่งชี้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะสั้น 2 ปี ปรับขึ้นเหนืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 30 ปี หรือ Inverted yield curve เมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงแรง รวมถึงดัชนีหุ้นไทยที่ปรับลงแตะระดับ 1590 จุด เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม แตะระดับตํ่าสุดในรอบ 7 เดือน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแนวคุณค่า (VI) ที่เริ่มจากเงินลงทุนเพียง 10 ล้านบาท จนไต่ระดับมูลค่าพอร์ตลงทุนปัจจุบันกว่า 6 พันล้านบาท สะท้อนมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นท่ามกลางปัจจัยความเสี่ยงผ่าน “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ช่วง 1 ปี 8 เดือนที่ผ่านมา แทบไม่ได้ทำอะไรกับหุ้นเลย ไม่ได้ซื้อและไม่ได้ขายออกแม้แต่หุ้นเดียว เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปีที่ผมไม่ได้ทำอะไรกับหุ้น เพราะไม่มีตัวที่สนใจหรือขายแล้ว ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร รอจังหวะว่า มีตัวที่สนใจ ถูกและคุ้มค่า
“ปกติผมจะลงหุ้น 99% หรือเกือบทั้ง 100% เลย ตอนนี้ 90% เป็นหุ้นอีก 10% เป็นเงินสด หรือแบ่ง 1% ลงในสินทรัพย์อื่น เช่น บ้าน”
ดังนั้นพอร์ตการลงทุนของดร.นิเวศน์ ภรรยา (เพาพิลาส เหมวชิรวรากร) และบุตรสาว (พิสชา เหมวชิรวรากร ) ปีนี้และปีที่แล้วจึงไม่ได้ต่างกัน เป็นการลงทุนในหุ้นทั้งหมด 9 ตัว มูลค่าพอร์ตลงทุนรวม ณวันที่ 16 สิงหาคมประมาณ 6,197.14 ล้านบาท ยังไม่รวมหุ้นที่ถือในเวียดนามอีก 3 -4 บริษัท โดยหลักยังเน้นลงทุนในหุ้นราคาถูกและจ่ายปันผลดี
กับสถานการณ์ในขณะนี้ ดร.นิเวศน์ให้คำแนะนำว่า นักลงทุนต้องจับตาใกล้ชิดเพราะมีสัญญาณจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯระยะสั้นที่สูงกว่าระยะยาว เตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ทั่วโลกก็มีโอกาสเกิดขึ้น จากความตึงเครียดของสงครามการค้า โดยเฉพาะปีหน้าเป็นต้นไป อาจเห็นการชะลอตัวลงแรง เพราะสงครามการค้าเพิ่งเริ่ม และที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐฯและตลาดหุ้นก็ดีมานาน ถ้าตกรอบนี้ การฟื้นอาจไม่ได้เร็วอย่างที่คาด
ที่น่าห่วงคือ กระสุนที่จะรับมือมีข้อจำกัด โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยตํ่ามาเป็นเวลานาน และอัดฉีดเงินสู่ระบบ (QE) ถ้าเกิดปัญหาอีกก็ไม่เหลือเครื่องมือ ดังนั้นความเสี่ยงที่เศรษฐกิจชะลอตัวแรง ตรงนี้นักลงทุนต้องตระหนัก
“กลางเดือนสิงหาคมนี้ ดัชนีตลาดหุ้นตกมามากก็จริง แต่ผมกลับมองว่า ยังลงไม่มาก เพราะอาการของนักลงทุนยังไม่ได้ถอดใจ โดยเฉพาะรายย่อยยังอยากซื้อหุ้นเต็มที่อยู่ สังเกตุว่าหุ้นเก็งกำไรยังร้อนแรงหรือดีดตัวแรง พี/อี 50 เท่าหรือ 100 เท่าก็ยังมี หรือตกมาก็มีคนซื้อ ต่างชาติเทขาย คนไทยก็พร้อมจะซื้อหรือเก็บหุ้นตลอดเวลา ซึ่งเป็นสัญญาณว่าหุ้นไทยยังไม่ได้ตกเยอะ”
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อย่างไรก็ดี หากจะทยอยซื้อก็เป็นโอกาสรอบแรก มีหุ้นจำนวนไม่น้อยที่ราคาเหมาะสม หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ หลายตัวลงมาถูกมากและให้ปันผลสูงน่าสนใจ แต่ไม่ควรไปเล่นหุ้นเติบโต (Growth Stocks) ส่วนใครพอร์ตเกือบเต็ม ผมมองว่ายังมีโอกาสซื้อของถูกได้อีก จะรอไปซื้อรอบหน้ายังได้
ดร.นิเวศน์ยังประเมินแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยว่า ดูจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 2/2562 ที่ออกมาไม่ดีนัก มีภาระต้นทุนและเรื่องการกันสำรองผลประโยชน์พนักงาน ดังนั้นโอกาสที่หุ้นจะปรับขึ้นจึงค่อนข้างยาก ทำให้ดัชนีหุ้น ซึ่งคำนวณจาก EPS มีอัพไซด์จำกัด เป็นช่วงที่ควรประคองตัว “หลักการลงทุนผมพูดมาตลอดคือ ต้องใช้สติคิดเหตุผลมากกว่าใช้อารมณ์ และลงทุนหุ้นต้องใจเย็นๆ”
หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,498 วันที่ 22-24 สิงหาคม 2562