ฟินโนมีนา เข็น BIC มูลค่า 1 พันล้านบาท ขาย 17 ก.ย.- 1 ต.ค.นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นตํ่า 1 ล้านบาท ชี้จัดพอร์ตด้วยระบบคำนวณ เลือกกองทุนที่ดีที่สุดและให้ผลตอบแทนสูงสุด 3 อันดับแรกให้นักลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน(บลน.) ฟินโนมีนา จำกัด ออกผลิตภัณฑ์ FINNOMENA Best-in-class Portfolio (BIC) เสนอขายครั้งแรกวันที่ 17 กันยายน- 1 ตุลาคม มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท กำหนดเงินลงทุนขั้นตํ่าที่ 1 ล้านบาท โดยจัดพอร์ตลงทุนด้วยระบบคำนวณ Best-in-class เพื่อเลือกกองทุนที่ดีที่สุดหรือกองทุนที่ยอดเยี่ยมให้กับนักลงทุน
การคัดเลือกพอร์ต Best-in-class จะดูจากปัจจัยหลัก 3 ปัจจัยคือ ความสมํ่าเสมอของผลตอบแทนระยะยาว, อัตราผลตอบแทนหลังปรับด้วยความเสี่ยง, Maximum Drawdown หรือการขาดทุนสูงสุดในอดีตของกองทุน โดยนำทั้ง 3 ปัจจัยมาคำนวณออกมาเป็น FINNOMENA Score และเลือก 3 กองทุนที่ได้คะแนนสูงสุดมาจัดเป็นพอร์ต Best-in-class ให้กับนักลงทุน
นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลน.ฟินโนมีนา จำกัด เปิดเผยว่า จากการศึกษาพบว่า กองทุนที่ดีที่สุดไม่ใช่กองทุนที่ใหญ่ที่สุดเสมอไป และกองทุนที่ดีที่สุดก็ไม่ใช่กองทุนที่มีผลตอบแทนปีล่าสุดเป็นอันดับ 1 ด้วยเช่นกัน โดยกองทุนที่ดีที่สุดในแต่ละประเภทมีกุญแจสำคัญคือ ต้องมีการขาดทุนสูงสุดในอดีตของกองทุนตํ่าและมีผลตอบแทนที่สมํ่าเสมอในระยะเวลาการลงทุน 3 ปี โดยผลิตภัณฑ์ Best-in-class จะนำกองทุนที่ดีที่สุด 3 กองทุนมาจัดเป็นพอร์ตให้กับนักลงทุน
สำหรับผลิตภัณฑ์ Best-in-class ที่เสนอขายครั้งนี้มี 4 ประเภทคือ กองทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่ เพราะเห็นโอกาสที่ไทยกำลังจะมีเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2562 ซึ่งมีโอกาสที่เงินลงทุนจะไหลกลับมาลงทุนในบ้านเราอีกครั้ง ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจและกำไรไตรมาส 2 ที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ที่เติบโตดี
กองทุนที่ลงทุนในกองทุน อสังหาฯ และ REITs ซึ่งเป็นอีกกองทุนยอดฮิต เนื่องจากอัตราเงินปันผลของกองทุนอสังหาฯในไทยที่ 5-7% ยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากมาก ทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยี AI Social Media และการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในยุคดิจิตอล ยังเป็น Mega Trend ของโลกอีกต่อเนื่อง โดยคนที่ชอบลงทุนในกองทุนหุ้นเทค ก็สามารถเลือกพอร์ตกองทุน Best-in-class หุ้นเทคผ่านทางคำแนะนำของบริษัทได้
กองทุนหุ้น Healthcare ถือเป็นอีกธีมการลงทุน Mega Trend ในระยะยาว ที่หลายประเทศในโลกกำลังเข้าสู่ยุคสังคมสูงวัย ซึ่งบริษัทจะเลือก 3 กองทุนยอดเยี่ยมในกลุ่มนี้จากที่มีให้เลือกกว่า 20 กองทุน
ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่า กองทุนที่เป็น Best-in-class ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ เช่น กองทุน Best-in-class หุ้นไทยขนาดใหญ่ให้ผลตอบแทนสะสมย้อนหลังที่ 54% ขณะที่กองทุนที่มี FINNOMENA Score อยู่ท้ายตารางให้ผลตอบแทนสะสมย้อนหลังเพียง 7% ทั้งที่เป็นกองทุนในประเภทเดียวกันแต่ผลลัพธ์ต่างกันเป็นอย่างมาก จึงเชื่อว่าการลงทุนในกองทุน Best-in-class จะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์นักลงทุนไทยได้เป็นอย่างดี
หน้า 19 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3402 ระหว่างวันที่ 20 - 22 กันยายน 2561