ตลาดฯเผยเดือนส.ค.หุ้นไทยพุ่งสูงสุดในเอเชีย รับการเมืองชัดเจน

08 ก.ย. 2560 | 10:41 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

ตลาดหลักทรัพย์ เผยภาพรวมการซื้อขายเดือนส.ค.60 ดัชนีหุ้นไทยพุ่ง 2.5% จากสิ้นเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นสูงสุดในภูมิภาค หลังสถานการณ์การเมืองชัดเจนขึ้น ชูอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 3.06% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในเอเชีย

ดร. ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในเดือน ส.ค.2560 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดที่ 1,616.16 จุด เพิ่มขึ้น 4.7% จากสิ้นปี 2559 โดยตั้งแต่ต้นปี มี 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า SET Index ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มบริการ

[caption id="attachment_205887" align="aligncenter" width="362"] ดร. ภากร ปีตธวัชชัย ดร. ภากร ปีตธวัชชัย[/caption]

ส่วน Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย อยู่ที่ระดับ 16.09 เท่าขณะที่ Historical P/E อยู่ที่ 17.21 ซึ่งทั้ง Forward P/E และ Historical P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย ด้านอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 3.06% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียที่อยู่ที่ 2.61%

สำหรับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และ mai ณ สิ้นเดือนสิงหาคม อยู่ที่ 16.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% จากสิ้นปี 2559 โดยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของ SET และ mai ในเดือนสิงหาคม รวมอยู่ที่ 43,306 ล้านบาท ลดลง 30.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2560 อยู่ที่ 45,520 ล้านบาท ลดลง 10.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้านภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในเดือนส.ค.2560 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 267,515 สัญญา และ 274,030 สัญญาในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2560 ซึ่งลดลง 3.91% เมื่อเทียบกับทั้งปี 2559 ส่วนใหญ่มาจากการซื้อขาย SET50 Index Futures ที่ลดลง

ดร.ภากร กล่าวว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่มีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่มีการเปิดเผยข้อมูลบริษัทจดทะเบียนและการจ่ายปันผลระหว่างกาลของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่มีผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนที่ยังไม่ได้มีการลงทุนเพิ่มในช่วงที่ผ่านมา