ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินในเบื้องต้นว่า เหตุอุทกภัยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาจส่งผลกระทบให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่าประมาณ 15,725 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 0.1% ของ GDP โดยแบ่งเป็นความสูญเสียในภาคเกษตรกรรมมากที่สุดจำนวน 12,375ล้านบาท ตามมาด้วยภาคพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมประมาณ 2,000ล้านบาท การท่องเที่ยวและภาคบริการอื่นๆ 1,350ล้านบาท
ทั้งนี้ มูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจดังกล่าว 1. ประเมินผลกระทบความสูญเสียทางเศรษฐกิจ (Economic Loss) โดยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมรุนแรงหยุดชะงักไปประมาณ 7 วัน แต่ในพื้นที่ที่น้ำท่วมไม่รุนแรงจะมีความสูญเสียไม่มากนัก สำหรับการท่องเที่ยวอาจส่งผลกระทบไปถึงแหล่งท่องเที่ยวที่แม้ไม่ถูกน้ำท่วมแต่ความยากลำบากในการเดินทางอาจทำให้นักท่องเที่ยวเลี่ยงการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงไม่ได้ขยายไปถึงจังหวัดท่องเที่ยวหลัก และช่วงเวลานี้ยังไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวที่สำคัญ 2. ผลกระทบดังกล่าวไม่รวมความเสียหายด้านทรัพย์สิน และโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น ถนน สะพาน เป็นต้น) และ 3. ผลกระทบต่อภาคเกษตร คำนวณจากจำนวนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบราว 4.6 แสนราย ครอบคลุมพื้นที่ประสบภัยด้านพืช 3.6 ล้านไร่ ด้านปศุสัตว์ 5.6 แสนตัว รวมทั้งด้านประมง (บ่อปลาและกระชัง)
อนึ่ง แม้ผลกระทบดังกล่าวอาจเป็นตัวเลขที่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจในระดับประเทศ รวมทั้งไม่กระทบต่อประมาณการเศรษฐกิจที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าจะขยายตัว 3.4% ในปี 2560 อย่างไรก็ตาม ในระดับภูมิภาค เหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบค่อนข้างมากต่อคนในท้องที่ โดยเฉพาะเกษตรกรและธุรกิจ SMEs ทั้งนี้ คงต้องติดตามสถานการณ์และสภาพภูมิอากาศในระยะข้างหน้าเพื่อประเมินผลกระทบในระยะต่อไป