SCC เดินหน้าปิโตรเคมีเวียดนาม 1.8 แสนล้าน

19 ก.ค. 2560 | 10:31 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า บริษัทย่อยคือ วีนา เอสซีจี เคมิคอลส์ (VSCG) ได้อนุมัติโครงการของ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) มูลค่าการลงทุน ประมาณ 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 188,000 ล้านบาท พร้อมจะจัดทำหนังสือแจ้งผู้ชนะการประกวดราคาให้กับผู้รับเหมาหลักในวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 คาดว่าจะลงนามในสัญญาจ้างผู้รับเหมาแบบเหมารวมเบ็ดเสร็จ (Turnkey) ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 และใช้เวลาก่อสร้างประมาณสี่ปีครึ่ง และจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายใน ครึ่งแรกของปี 2565

สำหรับโครงสร้างทางการเงินประกอบด้วยเงินกู้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ และเงินทุนในอัตราส่วน 60 ต่อ 40 โดยค่าใช้จ่ายลงทุนจะทยอยจ่ายไปตลอดช่วงระยะเวลาดำเนินโครงการ ทั้งนี้ SCC ถือหุ้นทางอ้อมใน LSP ประมาณ 71% และ Vietnam Oil and Gas Group (PetroVietnam) ถือหุ้น 29%

LSP เป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกของประเทศเวียดนาม มีความสามารถในการแข่งขันในเชิงธุรกิจเนื่องจากเป็นโครงการที่มีการเชื่อมโยงจากโรงงานปิโตรเคมีขั้นต้นถึงขั้นปลายครบวงจร มีความประหยัดจากขนาด และสามารถใช้วัตถุดิบได้อย่างยืดหยุ่น นอกจากนี้ LSP ยังมีการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินกิจการ เช่นท่าเรือน้ำลึก และสาธารณูปโภคต่าง ๆ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด

จุดเด่นของโครงการนี้คือการมีโรงงานผลิตเอทิลีนขนาดกำลังการผลิต 1 ล้านตันต่อปี ที่มีความยืดหยุ่นสูง โดยสามารถเลือกใช้ก๊าซร่วมกับแนฟทาเป็นวัตถุดิบในสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อการผลิตโอเลฟินส์รวมกันได้สูงถึง1.6 ล้านตันต่อปี สำหรับเทคโนโลยีในกระบวนการผลิตของ LSPถือเป็นเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่ได้รับการยอมรับ

ส่วนวัตถุดิบจะประกอบด้วยก๊าซอีเทนจากแหล่งภายในประเทศเวียดนามก๊าซโพรเพนและวัตถุดิบแนฟทาจากการนำเข้าภายใต้สัญญาซื้อขายวัตถุดิบในราคาตลาดที่แข่งขันได้ซึ่งจะทำให้โรงงานมีความยืดหยุ่นสูง สามารถเลือกใช้ก๊าซเพื่อบริหารต้นทุนได้สูงสุดถึง 80%ของวัตถุดิบทั้งหมด นอกจากนี้การผลิตโพลิโอเลฟินส์ในขั้นปลายซึ่งประกอบด้วยโรงงาน High DensityPolyethylene (HDPE), Linear Low Density Polyethylene (LLDPE) และ Polypropylene (PP)จะมีกำลังการผลิตโดยรวมใกล้เคียงกับโรงงานโอเลฟินส์