จีพีเอสซีชูกลยุทธ์ครึ่งปีหลังมุ่งศึกษาตลาดอาเซียน
Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่
ดร.เติมชัย บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ จีพีเอสซี แกนนำในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภคของกลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 /2560 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 5,366 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 750 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2559
ในขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Q1/59) บริษัทฯ มีรายได้ลดลง 118 ล้านบาท คิดเป็น 2% กำไรสุทธิลดลง 121 ล้านบาท หรือ หรือลดลง 14% โดยเป็นผลจากการรับเงินปันผลจาก บริษัท ราชบุรีเพาเวอร์ จำกัด ลดลง 60 ล้านบาท ประกอบกับโรงไฟฟ้า IRPC -CP กำไรลดลงจากลูกค้ามีการหยุดซ่อมบำรุง
สำหรับการดำเนินงานในครึ่งหลังของปีนี้ จะมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 และสามารถดำเนินการในเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ 3 แห่ง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น โครงการ 2 ที่รับรู้ส่วนแบ่งกำไรในไตรมาสที่ 3 โครงการ โรงไฟฟ้า ไออาร์พีซี คลีนพาวเวอร์ ระยะที่ 2 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อิจิโนเซกิ โซล่าร์ พาวเวอร์ ในประเทศญี่ปุ่น ที่จะมีการรับรู้รายได้ในไตรมาส 4
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของการดำเนินธุรกิจในปี 2560 บริษัทฯ จะมีการรับรู้รายได้เต็มปี จากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน สำหรับสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งจันทบุรี จำกัด และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าประเภท SPP ที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา
“ทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจของจีพีเอสซีในครึ่งปีหลัง 2560 บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญในการวางกลยุทธ์โดยมุ่งเติบโตไปพร้อมๆ กับธุรกิจในกลุ่ม ปตท. ให้เกิดการดำเนินธุรกิจร่วมกันทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการเข้าซึ้อกิจการสำหรับโครงการที่น่าสนใจในต่างประเทศ และต่อยอดในประเทศที่ได้มีโครงการที่ได้ลงทุนไปแล้ว” ดร.เติมชัย กล่าว
ขณะที่ บริษัทฯ ได้เล็งเห็นทิศทางในอนาคตของธุรกิจพลังงาน จึงให้ความสำคัญกับการนำระบบกักเก็บพลังงานเข้ามาใช้ บริษัทจึงได้ต่อยอดความร่วมมือกับ บริษัท 24M Technologies (24M) ซึ่งบริษัทฯ ได้เข้าไปถือหุ้นอยู่ที่ 18.6% ในการได้รับสิทธิบัตรในการผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนในไทยและอาเซียน โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการประเมินภาพรวมตลาดแบตเตอรี่ในภูมิภาคอาเซียนและอยู่ระหว่างการเจรจากับ Partner หลายราย เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการร่วมกันทำตลาด รวมถึงการทำรายละเอียดของการลงทุนเพื่อขออนุมัติคณะกรรมการบริษัทฯ ต่อไป
นับว่าเป็นโอกาสการลงทุนที่มีอนาคตของจีพีเอสซี เนื่องจากทิศทางของการใช้ไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการมุ่งไปสู่การสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก ทั้งพลังงานจากแสงอาทิตย์ และพลังงานลม จะเห็นว่าแบตเตอรี่คุณภาพสูงจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆมากขึ้น เพราะจะเป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะทำให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานในระบบที่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยเทคโนโลยีเกิดจากระบบกักเก็บพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง แบตเตอรี่มีขนาดเล็กลง และน้ำหนักเบา สามารถลดต้นทุนในกระบวนการผลิต