EA โกยกำไร 980 ล้านบาท เติบโต 37.8%
EA โชว์กำไรไตรมาสแรก 980 ล้านบาท เติบโตกว่า 37.8% บุ๊ครายได้โซลาร์ฟาร์ม 278 เมกะวัตต์ ยังจ่อ COD วินด์ฟาร์มเพิ่มเร็วๆ นี้ ดันกำลังการผลิตไฟฟ้าในปี' 60 เพิ่มขึ้นเป็น 404 เมกะวัตต์ หนุนรายได้และกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 1/60 มีรายได้รวม 2,683 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 241 ล้านบาท หรือ 9.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,442 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 980 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 269 ล้านบาท หรือ 37.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 711 ล้านบาท คาดว่าในไตรมาส 2/60 นี้ จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มตามฤดูกาลเช่นเดียวกับทุกๆ ปี
“แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2560 คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปีนี้ถือเป็นปีแรกที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กำลังการผลิตรวม 278 เมกะวัตต์ ผลิตไฟฟ้าได้เต็มตลอดทั้งปี ประกอบกับได้เริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานลม จากโครงการหาดกังหัน 1 ขนาดกำลังการผลิต 36 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการหาดกังหัน 2 และ 3 กำลังการผลิตรวม 90 เมกะวัตต์ที่จะ COD เร็วๆ นี้ ส่งผลให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม และวินด์ฟาร์ม เพิ่มเป็น 404 เมกะวัตต์ ผลักดันให้รายได้และกำไร ทำ New High ต่อเนื่อง และมีกระแสเงินสดเพียงพอสำหรับการลงทุนในโครงการต่างๆ ที่ได้วางแผนไว้ ด้านแนวโน้มธุรกิจไบโอดีเซลในปี 2560 กลับมาสดใสขึ้น หลังจากกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซล โดยปรับเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลจาก 5% เป็น 7% หรือ บี 7 โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค. 2560 ที่ผ่านมา หลังจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบเริ่มสูงขึ้นจากผลผลิตที่เข้ามามากขึ้น ซึ่งจะทำให้รายได้จากธุรกิจไบโอดีเซล เติบโตขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา”นายอมรกล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2560 นอกจากจะเดินหน้าลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 260 เมกะวัตต์ มูลค่าการลงทุน 20,000 ล้านบาทแล้ว บริษัทฯยังมีแผนที่จะลงทุนสร้างโรงงานผลิตอุปกรณ์จัดเก็บพลังงาน (Energy Storage) หรือที่เรียกว่า แบตเตอรี่ ขนาดกำลังการผลิต 50 Gwh หลังจากที่ได้ทำการลงทุนในบริษัท AmitaTechnologies Inc ประเทศไต้หวัน ในสัดส่วน 35.20% เรียบร้อยแล้ว โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ในขั้นการเตรียมการในรายละเอียดร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อรวมกันผลักดันและวางแผนการลงทุนร่วมกัน ทั้งนี้ เทคโนโลยีแบตเตอรี่นี้ เหมาะที่จะเริ่มนำมาใช้ในโรงไฟฟ้าเพื่อช่วยเพิ่มเสถียรภาพของระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าด้วยต้นทุนการลงทุนที่ต่ำ รวมไปถึงการนำไปใช้ในยานพาหนะ โรงงาน อาคาร บ้านเรือน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทฯ ครั้งใหม่ด้วยการรุกตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลส่งเสริมภายใต้โมเดลไทยแลนด์ 4.0 อีกด้วย