เปิดร่างกฎหมาย ‘อีอีซี’ รับการลงทุนระเบียงศก.ตะวันออก

11 ต.ค. 2559 | 04:00 น.
ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2559 ไปแล้ว สำหรับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ... ที่เสนอโดยกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อนำมาใช้ในการขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ในระยะ 10 ปี (2560-2569) รองรับการลงทุนในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนด้านอุตสาหกรรมเป้าหมาย 5 แสนล้านบาท การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 4 แสนล้านบาท การลงทุนด้านเมืองใหม่ โรงพยาบาล โรงเรียน ที่อยู่อาศัย 4 แสนล้านบาท และการลงทุนด้านการท่องเที่ยวคุณภาพและเชิงสุขภาพ 2 แสนล้านบาท

[caption id="attachment_104923" align="aligncenter" width="700"] แนวทางพัฒนาอีอีซี แนวทางพัฒนาอีอีซี[/caption]

โดยหลังจากนี้ไปร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวจะเขาสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนที่จะนำเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณาออกเป็นกฎหมายใช้บังคับต่อไป ที่คาดว่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน
-เปิดร่างพ.ร.บ.อีอีซี 5 หมวด

ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ...จะประกอบไปด้วย 5 หมวด รวม 61 มาตรา โดยหมวด 1 เป็นบททั่วไป ที่ว่าถึงการกำหนดวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหารจัดการ การพัฒนาพื้นที่เฉพาะ 3 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ที่จะมีการส่งเสริมให้เกิดการบูรณาการด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบคมนาคม ระบบการขนส่ง และการอำนวยความสะดวกในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ และกำหนดนโยบายของรัฐ ที่จะต้องดำเนินการในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น ส่งเสริมและดึงดูดให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นจากในและต่างประเทศ

ขณะที่หมวดที่ 2 จะว่าด้วยองค์กรกำกับดูแลพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ขึ้นมา มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีคณะกรรมการ รวมทั้งหมด 24 คน โดยจะมีอำนาจหน้าที่ เช่น การกำหนดนโยบาย อนุมัติแผนงานทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมถึงมาตรการในการพัฒนาพื้นที่ด้วย

พร้อมทั้งกำหนดให้มีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษฯ มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่เป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจหน้าที่ เช่น เสนอแนะศึกษา วิจัย และเตรียมการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมทั้งติดตามประสานงานให้การพัฒนาพื้นที่ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดให้มีเลขาธิการขึ้นมา 1 คน มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินงานของสำนักงานขึ้นตรงกับคณะกรรมการนโยบายฯ
-ตั้งเป็นเขตส่งเสริมศก.พิเศษ

ส่วนหมวดที่ 3 นั้นจะว่าด้วยการพัฒนาพื้นที่ ที่กำหนดให้การจัดทำโครงการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภค การจัดตั้ง และการดำเนินกิจการอุตสาหกรรมต่างๆ ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษฯ ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ โดยให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญเป็นการเฉพาะ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบอีไอเอให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายฯให้ความเห็นชอบ

ที่สำคัญหลังจากพ.ร.บ.นี้มีผลใช้บังคับไป 1 ปีแล้ว กำหนดให้สำนักงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำแผนภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค รวมทั้งกำหนดให้สำนักงานมีอำนาจในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการพัฒนาโครงสร้างพ้นฐานและระบบสาธารณูปโภค เช่น จัดสรรที่ดินในเขตเศรษฐกิจพิเศษฯ โดยไม่ต้องได้รับใบอนุญาต ลงทุนหรือร่วมลงทุนกับบุคคลอื่นทั้งในและต่างประเทศ

อีกทั้ง คณะกรรมการนโยบายฯ อาจเห็นควรกำหนดให้นิคมอุตสาหกรรมใดหรือพื้นที่ใดที่ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษฯ เป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษได้ ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดตั้ง เปลี่ยนแปลงเขต และยุบเลิกเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ โดยกำหนดให้เลขาธิการ เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติ อนุญาต ในการรับจดทะเบียนหรือรับแจ้งตามกฎหมายจำนวน 6 ฉบับ ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยการขุดดิน และถมดิน กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร กฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนเครื่องจักร กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข กฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์ และกฎหมายว่าด้วยโรงงาน

โดยจะมีการจัดตั้งศูนย์ประสานการบริหารด้านการลงทุน เพื่อเสริมประสิทธิภาพการให้บริการแก่นักลงทุน ที่มีลักษณะเป็นศูนย์บริการร่วมของหน่วยงานภาครัฐ ที่สามารถเชื่อมโยงการให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนแบบเบ็ดเสร็จ

 สิทธิประโยชน์ด้านลงทุนเพียบ

นอกจากนี้ ยังกำหนดหลักเกณฑ์ในการได้มาซึ่งที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษฯ ได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น สิทธิในการถือกรรมสิทธิที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์อื่นของคนต่างด้าว สิทธิในการนำคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่อาศัยในราชอาณาจักร สิทธิในการที่จะได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากร ตามกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ และสิทธิในการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมทั้ง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการใช้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวด้วย โดยเฉพาะการเช่าหรือให้เช่าที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ อาจเช่าได้มีกำหนดไม่เกิน 50 ปี และต่ออายุได้อีกไม่เกิน 49 ปี

พร้อมทั้งกำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนขึ้นในสำนักงานเป็นกองทุนพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อเป็นทุนสนับสนุนในการกระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่น และพัฒนาชุมชนในท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาพื้นที่ โดยแหล่งที่มาของเงินกองทุน จะมาจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ เงินบำรุงกองทุนที่จัดเก็บจากค่าปรับ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้ และอกผลหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่เกิดจากเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน

สำหรับหมวดที่ 4 ว่าด้วยการกำกับดูแล มีการกำหนดให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของสำนักงาน และหมวดที่ 5 เป็นบทกำหนดโทษ ที่จะกำหนดให้ผู้ประกอบการ อยู่อาศัย หรือใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด หากไม่ดำเนินการให้เลขาธิการ มีอำนาจสั่งให้ชำระค่าปรับทางปกครองหรือบอกเลิกสัญญาเช่าหรือเช่าซื้อได้

 มีคณะทำงานฯช่วงรอกฎหมาย

อีกทั้งยังมีบทเฉพาะกาล ระบุด้วยว่า ในช่วงเริ่มแรกการดำเนินงานนั้น ให้คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. 2558 ทำหน้าที่คณะกรรมการนโยบายไปพลางก่อน จนกว่าจะมีคณะกรรมการนโยบายฯ ตามพ.ร.บ.ฉบับนี้ออกมา โดยให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) ทำหน้าที่สำนักงานไปพลางก่อน และให้ผู้ว่าการกนอ.ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสำนักงานจนกว่าจะมีการแต่งตั้งเลขาธิการขึ้นมา

โดยดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ความเห็นว่าร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวนี้ น่าจะประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ภายในต้นปีหน้า ซึ่งจะนำไปสู่การขับเคลื่อนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรืออีอีซี ซึ่งระหว่างรอกฎหมายนี้ จะมีการตั้งคณะทำงานฯตามที่บทเฉพาะกาลระบุไว้ ให้เกิดการขับเคลื่อนโดยเร็ว ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีดำริไว้ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความชัดเจนและสร้างความมั่นใจของนักลงทุน

ขณะที่พื้นที่ในการรองรับการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมนั้น คาดว่าภายในระยะเวลา 5 ปี จะมีความต้องการใช้พื้นที่เพื่อการลงทุนใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประมาณ 70,259 ไร่ ประกอบด้วย อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประมาณ 18,000 ไร่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ ประมาณ 7,259 ไร่ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร การเกษตรเทคโนโลยีชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพ 21,500 ไร่ อุตสาหกรรมการบิน ประมาณ 500 ไร่ อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ประมาณ 20,000 ไร่ และอุตสาหกรรมดิจิตอล และการแพทย์ครบวงจร ประมาณ 3,000 ไร่

ดังนั้น การดำเนินงานในพื้นที่อีอีซี วันนี้ถือว่าเป็นมีความชัดเจนแล้ว ในการรองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

Photo : Pixabay ภาพปกไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,199 วันที่ 9 - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559