“กรมขนส่ง” ตั้งเป้า 20% ดันรถบรรทุกสินค้า โหมเอกชนรับมาตรฐานคิว-มาร์ค

01 ก.ย. 2565 | 13:52 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ก.ย. 2565 | 20:57 น.

“กรมขนส่ง” เปิดแผนดันรถบรรทุกสินค้า รับมาตรฐานคิว-มาร์ค ดึงเอกชนร่วมสิทธิประโยชน์รับส่วนลดพิเศษ ตั้งเป้าขึ้นทะเบียน 20% แตะ 7.6 หมื่นคัน

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยภายหลังมอบโล่เกียรติคุณ ให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับรองมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก หรือคิว มาร์ค (Q Mark) และมาตรฐานคุณภาพการขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารด้วยรถบรรทุกแบบควบคุมอุณหภูมิ (Q Cold Chain) ว่า กรมฯ ได้มอบโล่รับรองมาตรฐานคิว มาร์ค ให้กับผู้ประกอบการรถขนส่งสินค้าโลจิสติกส์ และรถขนส่งสินค้าที่ควบคุมอุณหภูมิ ประจำปี 2565 จำนวน 43 ราย โดยแบ่งเป็น ผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกไม่ประจำทาง จำนวน 39 ราย ผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกส่วนบุคคล จำนวน 1 ราย และผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกแบบควบคุมอุณหภูมิ จำนวน 3 ราย โดยปัจจุบัน มีผู้ประกอบการที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน คิว มาร์ค และยังคงสถานะการรับรอง จำนวน 449 ราย ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานครและภูมิภาค ทั้ง 76 จังหวัด

ทั้งนี้ในปัจจุบันมีรถบรรทุกรับจ้างขนส่งสินค้าอยู่ที่ 3.8 แสนคัน ในจำนวนนี้ผ่านมาตรฐานคิว มาร์ค ซึ่งถือเป็นการรับรองคุณภาพรถแล้วกว่า 61,972 คัน หรือคิดเป็นมากกว่า 15% จากจำนวนรถบรรทุกรับจ้างขนส่งสินค้าในปัจจุบัน ส่วนเรื่องสิทธิ์ประโยชน์ที่จะได้รับจากการเข้าร่วมมาตรฐานคิว มาร์ค เบื้องต้นกรมฯ ได้ขอความร่วมมือภาคเอกชน เช่น การได้รับสิทธิ์ให้พิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศก่อนรถบรรทุกที่ไม่มีเครื่องหมาย คิว มาร์ค และได้รับส่วนลดจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการทำประกันภัยรถ เป็นต้น  

“กรมขนส่ง” ตั้งเป้า 20% ดันรถบรรทุกสินค้า โหมเอกชนรับมาตรฐานคิว-มาร์ค   

"ในระยะต่อไป จะเร่งดึงรถบรรทุกส่วนบุคคล หรือรถ 80 เข้าร่วมให้มากขึ้น และตั้งเป้าหมายดันรถบรรทุก และรถขนส่งสินค้าทุกประเภทเข้าร่วมมาตรฐาน คิว มาร์ค เพิ่มเป็น 20% หรือเพิ่มขึ้นเป็น 7.6 หมื่นคัน ในอนาคตอันใกล้ต่อไป" 

“กรมขนส่ง” ตั้งเป้า 20% ดันรถบรรทุกสินค้า โหมเอกชนรับมาตรฐานคิว-มาร์ค

 

นอกจากนี้ ภายในงานได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ระหว่าง ขบ. กับ บริษัท บางจาก คอเปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบมาตรฐานเพิ่มมากขึ้น ตอบสนองยุทธศาสตร์การเพิ่มประสิทธิภาพระบบการขนส่งสินค้าและระบบ  โลจิสติกส์ของประเทศอีกด้วย